วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความ แพทย์หญิง ภาวินี อมรพันธางค์ แพทย์ผู้ชำนาญการพิเศษ สาขาจักษุวิทยา โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล (WMC) กล่าวถึง “ต้อกระจก” ภัยเงียบที่อาจพรากการมองเห็น หากไม่รีบรักษา
ต้อกระจก คือ ภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ซึ่งแต่เดิมเลนส์นี้ควรจะใสเพื่อให้แสงผ่านเข้าสู่จอประสาทตาได้อย่างชัดเจน เมื่อเลนส์ขุ่น แสงจะผ่านได้ไม่ดี การมองเห็นจึงพร่ามัว มืดลง หรือเหมือนมีหมอกจาง ๆ ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาการเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ จนหลายคนไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังสูญเสียการมองเห็นไปทีละน้อย โรคต้อกระจกไม่ได้ทำให้เสียชีวิต แต่สามารถลดคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก ลองนึกภาพว่าคุณไม่สามารถขับรถ อ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งมองเห็นหน้าคนที่คุณรักได้อย่างชัดเจน ความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากการถูกจำกัดโลกให้อยู่ในกรอบเล็ก ๆ ที่มืดมน และอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือความรู้สึกโดดเดี่ยว โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

อาการเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
- มองเห็นภาพเบลอ หรือมีแสงจ้าเกินปกติ
- เห็นแสงไฟกระจายตอนกลางคืน
- เปลี่ยนแว่นบ่อย แต่สายตาก็ยังไม่ชัด
- มองเห็นสีจืดลง หรือมืดมัวทั้งที่อยู่ในที่มีแสง
- ตาสู้แสงแดดไม่ได้
หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสรักษาให้กลับมามองเห็นชัดเจนก็ยิ่งสูง
การรักษาที่ได้ผลที่สุด แม้ในระยะแรกการสวมแว่นจะช่วยได้บ้าง แต่เมื่อต้อกระจกพัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการผ่าตัดเลนส์ตา โดยนำเลนส์ที่ขุ่นออกแล้วใส่เลนส์เทียมแทน ซึ่งปัจจุบันการผ่าตัดปลอดภัยสูง ใช้เวลาไม่นาน และสามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้ดี

เทคนิคดีๆ ในการดูแลดวงตา
- ใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันรังสี UV
- รับประทานอาหารที่ดีต่อดวงตา เช่น ผักใบเขียว แครอท และผลไม้สีสันสด
- หลีกเลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
- ควบคุมโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวาน
- ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
“ต้อกระจก” อาจไม่ใช่โรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่รักษา มันสามารถพรากโลกใบสวยจากคุณไปได้อย่างไม่มีวันหวนกลับ อย่ารอให้สายเกินแก้ หมั่นดูแลและตรวจเช็กสุขภาพดวงตาเป็นประจำ เมื่อมีอาการควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านจักษุ เพื่อตรวจประเมินและนำไปสู่การรักษาที่ทันท่วงที เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยให้อยู่กับเรานานยิ่งขึ้น