The Guardian สหราชอาณาจักร รายงานว่า ศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก หรือ Club World Cup 2025 ณ สหรัฐอเมริกา กำลังเผชิญกับความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้ว โดยเฉพาะ ‘สภาพอากาศที่ร้อนจัด’ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยและสุขภาพของทั้งนักกีฬาและแฟนบอล

ข้อมูลจากการคาดการณ์ของ ‘US National Weather Service’ ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังประสบภาวะความร้อนระดับปานกลางในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่าง ไมอามี และ ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสนามจัดการแข่งขันของทัวร์นาเมนต์ อุณหภูมิในพื้นที่ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงกว่าเกินกว่า 30 องศาเซลเซียสในช่วงสุดสัปดาห์เดียวกับการแข่งขันนัดเปิดสนาม แม้ว่าการแข่งขันนัดแรกระหว่าง ลิโอเนล เมสซี กับทีม อินเตอร์ ไมอามี และ อัล อาห์ลี จากอียิปต์ จะเริ่มขึ้นในเวลา 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเป็นช่วงที่แดดเริ่มลับขอบฟ้า แต่ความชื้นในอากาศที่ยังคงสูงก็เป็นปัจจัยที่น่ากังวล

ขณะเดียวกัน แมตช์สำคัญอีกคู่ระหว่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ แอตเลติโก มาดริด ที่จะเตะกันในช่วงกลางวัน ณ สนาม Rose Bowl เมืองพาซาดีนา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นสนามกลางแจ้ง ไม่มีหลังคา ก็จะเผชิญกับแดดจัดเต็มๆ ในช่วงเที่ยงวัน สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขภาพให้กับนักเตะอย่างมาก

ท่ามกลางข้อถกเถียงมากมายที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการแข่งขัน Club World Cup ไม่ว่าจะเป็นตารางการแข่งขันที่อัดแน่น การแทรกแซงของฟีฟ่าในฟุตบอลระดับสโมสร หรือการตั้งราคาบัตรแบบไดนามิก แต่ดูเหมือนว่าปัญหาที่ท้าทายที่สุดในปีนี้กลับไม่ใช่เรื่องเหล่านี้เลย แต่เป็น ‘ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง’ ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้จัดอย่างสิ้นเชิง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐฯ จัดการแข่งขันฟุตบอลในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด โดยใน ฟุตบอลโลกปี 1994 แมตช์ระหว่างไอร์แลนด์และเม็กซิโกเคยเล่นกันท่ามกลางอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจาก 30 ปีที่ผ่านมา ยังแสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 องศาเซลเซียส และจากสถิติพบว่า 9 ใน 10 ปีที่ร้อนที่สุดของสหรัฐฯ เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2024 ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงจากสภาพอากาศร้อน โดย โรนัลด์ อเราโฆ กองหลังทีมชาติอุรุกวัย ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกจากการแข่งขันในศึกโคปา อเมริกา ระหว่างอุรุกวัยพบปานามา เนื่องจากเวียนศีรษะและความดันต่ำจากภาวะขาดน้ำ รวมถึงกรณีของ ฮัมแบร์โต ปันโฮจ ผู้ช่วยผู้ตัดสินที่หมดสติในสนามระหว่างเกมแคนาดาพบเปรู โดยขณะนั้นอุณหภูมิ ‘ที่รู้สึกได้’ (Feels like) อยู่ที่ 38 องศาเซลเซียส เหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งตอกย้ำคำวิจารณ์ของ อลิสแตร์ จอห์นสตัน แนวรับทีมชาติแคนาดาที่กล่าวว่า “การเตะในสภาพอากาศแบบนี้มันไม่ปลอดภัยแม้แต่กับแฟนบอล”

ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่น่าสนใจคือ จากโปรแกรมการแข่งขันทั้งหมด 63 นัด ใน Club World Cup ปีนี้ มีถึง 35 นัด ที่ลงเตะก่อนเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงต่อสภาพอากาศร้อนจัด อีกทั้งข้อมูลจากงานวิจัยของกลุ่ม Fossil Free Football ยังเปิดเผยว่า สนามแข่งขัน 8 จาก 11 แห่ง ไม่มีหลังคาหรือมีหลังคาเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่ 4 เมืองเคยเผชิญกับ ‘เหตุการณ์คลื่นร้อนที่เด่นชัด’ ภายใน 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ การเดินทางของทีมต่างๆ ในทัวร์นาเมนต์นี้จะรวมระยะทางทางอากาศกว่า 564,877 กิโลเมตร ซึ่งสะท้อนถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่ไม่อาจมองข้ามได้

แม้จะยังไม่มีเหตุการณ์คลื่นร้อนรุนแรงในช่วงต้นทัวร์นาเมนต์ แต่แนวโน้มจากภาวะโลกร้อนก็ทำให้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มีมากขึ้น ซึ่งสมาคมนักฟุตบอลอาชีพระดับนานาชาติ หรือ FifPro มองว่าการรับมือกับความท้าทายใหม่นี้ ‘ยังไม่เพียงพอ’ โดยได้วิพากษ์วิจารณ์แนวทางของฟีฟ่า ที่อนุญาตให้มี ‘Cooling break’ เพียงหนึ่งครั้งต่อครึ่งเวลาการแข่งขัน หากอุณหภูมิแบบ WBGT (Wet-Bulb Globe Temperature) เกิน 32 องศาเซลเซียสในสนามนั้นไม่เพียงพอ

FifPro จึงเสนอให้มีการปรับช่วงอุณหภูมิสำหรับการเบรกน้ำเหลือ 28-32 องศาเซลเซียส พร้อมเสนอให้มีการหยุดพักสองครั้งต่อครึ่งเวลาการแข่งขัน และหาก WBGT เกิน 32 องศาเซลเซียส ควรเลื่อนการแข่งขันออกไป โดยโฆษกขององค์กรได้กล่าวกับ The Guardian ว่า FifPro ยืนยันมาตลอดว่า ต้องมีมาตรการป้องกันความร้อนอย่างรัดกุม ทั้งการเลื่อนเวลาเตะเพื่อหลีกเลี่ยงแดดจัด การหยุดพักน้ำอย่างเป็นระบบ และการเลื่อนแข่งหากอุณหภูมิเป็นอันตรายต่อสุขภาพนักเตะ” พร้อมระบุว่าองค์กรจะติดตามการแข่งขัน Club World Cup อย่างใกล้ชิดเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพของนักเตะเป็นหลัก

ด้านฟีฟ่าเองก็ได้มีการออกมาชี้แจงว่า กำลังติดตามสถานการณ์ของสนามแข่งในแต่ละวัน และอาจพิจารณาเพิ่มมาตรการเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการประกาศมาตรการใหม่เพื่อรับมือกับความร้อน ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเวลาการแข่งขันจากช่วงกลางวันยังคงถูกจำกัดด้วยตารางการแข่งขันที่อัดแน่น และข้อกำหนดจากผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด

อันที่จริง หลายฝ่ายมองว่าการแข่งขัน Club World Cup ครั้งนี้เสมือนเป็นการทดลองครั้งใหญ่สำหรับฟีฟ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่ศึกใหญ่กว่าอย่าง ฟุตบอลโลก 2026 จะมาถึง ซึ่งจะมีการแข่งขันถึง 48 ชาติ รวมกว่า 104 นัด ในหลายเมืองทางตอนใต้ของสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งสภาพอากาศอาจยิ่งรุนแรงกว่าในปีนี้ หากไม่มีการเร่งเตรียมมาตรการป้องกันที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่นักฟุตบอลหรือกรรมการเท่านั้นที่ต้องรับความเสี่ยง แต่ผู้ชมทุกคนล้วนอยู่ในวงล้อมของคลื่นความร้อนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นกัน