ณ เวลานี้ต้องเรียกว่า รัฐบาลกำลังดวงตกอย่างหนัก สิ่งที่ทำมีผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่  หลังไปขอยึดเก้าอี้ “มท.1” จนทำให้พรรคภูมิใจไทย ประกาศถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล  เท่ากับเป็นการ“ผลักมิตรเป็นศัตรู” ขนาด “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ยังพูดได้แค่ “ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้กับรัฐบาลเพื่อไทย เพราะคิดว่าทุกคนรักษาข้อตกลง”  ซึ่งบ่งบอกชัดเจนว่า “เสี่ยหนู”ผิดหวังในปฏิญญาว่า “ข้อตกลงจากความเชื่อมั่นกันและกัน มันศักดิ์สิทธิ์กว่าที่เป็นข้อเขียนด้วยซ้ำ”

ข้อตกลง” ที่ว่า คือ“ปฏิญญาช็อคมินต์” ในครั้งที่ตั้งรัฐบาลเพื่อไทย พรรคที่ถูกเชิญร่วมรัฐบาลจะไปดื่มช็อคโกแลตมินต์ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มโปรดของ “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร ที่พรรคเพื่อไทย แต่มาวันนี้ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็บอกง่ายๆ ว่า “ปฏิญญาช็อคมินต์” ที่ว่า หมายถึงการรวมตัวพรรคที่ไม่มีนโยบายแก้ไข ป.อาญา มาตรา 112 แต่เรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นเรื่องที่ตกลงกับหลังตั้งรัฐบาล

เมื่อเอาพรรคภูมิใจไทยออก เท่ากับลดทอนพลังของรัฐบาลไปอย่างมาก เรียกว่า ถ้านับแบบรวม “สส.งูเห่า”ปัจจุบันแล้ว เสียงรัฐบาลมี 261 เสียง ขณะที่ ตัวเลข สส.ฝ่ายค้าน จะเหลือ 234 เสียง  เกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุม คือ 248 เสียง มาเพียงแค่ 13 เสียง ถือว่า อยู่ในโซนอันตราย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อาจต้องมีเงินสะพัดมหาศาลในการซื้องูเห่า ซึ่งงูเห่าอาจไม่กล้าเปิดหน้ามาร่วม แต่อาจเรียกว่า “รับกันเป็นงานๆ” คือจ่ายให้หายตัวไม่มาลงมติ เสียงฝ่ายค้านลดจนแพ้รัฐบาลในกฎหมายที่รัฐบาลต้องการ

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องในสภา การปรับ ครม.จะเป็นเช่นไร ณ เวลานี้ ก็คงไม่ทำให้รัฐบาลสะเทือนไปมากกว่ากรณีไทยเขมร ที่ต้องถามฮุน เซ็น ประธานองคมนตรีกัมพูชา พ่อของ ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชาคนปัจจุบัน ว่า “การทูตแบบใด ที่ใช้วิธีอัดเสียงคู่สนทนามาแฉ จนดูเหมือนจะแบลคเมล์ด้วยซ้ำ” ยิ่งฝ่ายเขมรเคยพูดว่า “รักกันดีกับบ้านชินวัตร” คลิปเสียงหลุดที่ออกมายิ่งน่าตะลึง ว่า “เขาต้องการอะไร มากแค่ไหน ถึงทำสิ่งที่กระทบทั้งความสัมพันธ์ประเทศและส่วนตัว”

เชื่อว่า คลิปเสียง ในช่วงที่ทำให้หลายคนไม่พอใจได้ คือตอนที่ “นายกฯอิ๊งค์” พูดแล้วไปพาดพิง “บิ๊กกุ้ง”พล..บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2  เรียกเป็น “คนฝั่งตรงข้ามของเรา” ว่า “ไม่อยากให้ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา พอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาค 2  เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือโกรธ เพราะจริง ๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเรา ทางนั้นเขาอยากดูเท่ห์ เขาอยากจะพูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ที่เราต้องการคือต้องการความสงบสุขเหมือนตอนก่อนจะปะทะกันตรงชายแดนค่ะ”

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก ทางไทยรับรู้ว่า ทางกัมพูชาเริ่มก่อน ตั้งแต่ไปแสดงสัญลักษณ์ตรงปราสาทตาเมือนธม จนรัฐบาลไทยต้องทักท้วง ต่อมากัมพูชาแสดงท่าทีจะเข้ามาแสดงสิทธิ์บริเวณปราสาทตาเมือนธม ตาเมืองโต๊ด ตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตอีก จนฝ่ายทหารไทยต้องเตรียมตั้งรับ  ผลการประชุมเจบีซี(JBC)แทบไม่มีประโยชน์ เพราะทางกัมพูชายืนยันจะยอมเจรจาต่อเมื่อไทยขึ้นศาลโลก ทั้งที่ไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก

  การแสดงท่าทีของ “นายกฯอิ๊งค์” กลายเป็น “ตัวเร่ง” ความอ่อนไหวของสถานการณ์ทันที เพราะกลายเป็นพาดพิงทหารในทางลบ  แม้จะออกมาแถลงตอบโต้ว่า “ชัดเจนแล้วว่าความต้องการของฮุน เซ็น จริงๆ คือคะแนนนิยมภายในประเทศของท่านเอง โดยไม่สนใจจะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไร การที่ท่านต้องการคะแนนนิยมภายในประเทศ เพราะเคยบอกกับดิฉันว่าคะแนนนิยมเริ่มตก อาจจะเป็นส่วนหนึ่งทำให้อยากจะเรียกพลังตรงนี้” ก็ไม่ทราบจะแก้สถานการณ์ได้แค่ไหน

  กระแสโจมตีรัฐบาลมีมาอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาเรื่องศีลธรรมเกี่ยวกับกาสิโน แต่เรื่องกระแสชาตินิยม จะยิ่งกระพือไฟไล่รัฐบาลโหมหนัก  การจัดการในเรื่องนี้ มีโจทย์ที่ยากตรงที่ทำอย่างไร ต้องรักษาเกียรติของประเทศและทหาร  และเกิดความสูญเสียน้อยที่สุด  จะเป็นเครื่องพิสูจน์ภาวะผู้นำของ “นายกฯอิ๊งค์”  ขณะเดียวกัน การยั่วยุจากทางฝั่งกัมพูชาก็ไม่หยุดลงง่ายๆ  เป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องสู้ในวันที่เสียงของรัฐบาลไม่มั่นคง

 ในฐานะผู้นำ “นายกฯอิ๊งค์” ต้องรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดภาวะยุ่งเหยิงจนมีการกวักมือเรียกหา “รัฐประหาร” กันอีก.