วันนี้ “เดลินิวส์” นำบทความ รศ. พญ.วรรณดา ไล้สวน สาขาวิชาโรคภูมิแพ้อิมมูโนวิทยาและโรคข้อ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง “ภูมิแพ้” ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม ว่า  หลายคนมองว่าปัญหาสุขภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วหายเองได้ แต่ในความเป็นจริง โรคภูมิแพ้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาการของโรคภูมิแพ้ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรง เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือผื่นคัน อาจลุกลามจนทำให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรังและรุนแรงได้  

โรคภูมิแพ้ คืออะไร
โรคภูมิแพ้ (allergy) เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ ทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ๆ เช่น ฝุ่น ไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด หรือแม้แต่น้ำหอมและสารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้แต่ละคนจะมีอาการที่แตกต่างกัน และมีความรุนแรงไม่เท่ากัน เพราะชนิดของสารก่อภูมิแพ้ที่ได้รับและการตอบสนองของร่างกายแต่ละคนต่างกัน

สาเหตุของโรคภูมิแพ้
   สาเหตุของโรคภูมิแพ้โดยทั่วไปจะมี 3 ปัจจัย ดังนี้
   1. พันธุกรรม หากพ่อแม่หรือญาติสายตรงมีประวัติเป็นภูมิแพ้ โอกาสที่บุตรหลานจะเป็นภูมิแพ้จะสูงถึง 50%
   2. สิ่งแวดล้อม หากอยู่ในสถานที่ที่มีสารก่อภูมิแพ้บ่อย ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคภูมิแพ้
   3. ภูมิคุ้มกันส่วนตัว หากพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ได้ออกกำลังกาย และกินอาหารที่ไม่เหมาะสม เมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลงก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้

สารก่อภูมิแพ้มีอะไรบ้าง  สารก่อภูมิแพ้มีหลายประเภท เช่น ไรฝุ่น, รังแคสุนัข รังแคแมว, ขนสัตว์, เกสรดอกไม้, แมลงสาบและ อาหารบางชนิด

อาการของโรคภูมิแพ้เป็นอย่างไร  อาการของโรคภูมิแพ้สามารถแสดงออกได้ในหลายรูปแบบ เช่น คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ ตาแดง คันตา น้ำตาไหล มีผดผื่น

กลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย โรคภูมิแพ้สามารถเกิดขึ้นได้กับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้และวิธีที่ร่างกายตอบสนอง โดยทั่วไปแบ่งเป็นกลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย ดังนี้

ภูมิแพ้อากาศ   เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในทุกช่วงวัย เกิดจากการสูดดมสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ฝุ่น ละออง เกสรดอกไม้ หรือขนสัตว์ ทำให้ระบบทางเดินหายใจส่วนบนเกิดการอักเสบ มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันตาและจมูก ระคายเคืองในลำคอ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นและมลพิษสูง รวมทั้งใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน

ภูมิแพ้อาหาร เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อโปรตีนในอาหารบางชนิดผิดปกติ เช่น นมวัว ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง อาหารทะเลและหอย ไข่ไก่ มักพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีประวัติภูมิแพ้ทางพันธุกรรม มักมีผื่นคัน ลมพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง

ภูมิแพ้ผิวหนัง เกิดจากการสัมผัสสารระคายเคือง เช่น สารเคมี เครื่องสำอาง หรือฝุ่นละออง ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบและคัน


โรคภูมิแพ้ผิวหนังที่พบบ่อย
   •     ผื่นแพ้สัมผัส (contact dermatitis) : เกิดจากการสัมผัสสารเคมี เช่น น้ำหอม โลหะ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
   •     ลมพิษ (urticaria) : เกิดจากการแพ้อาหารหรือยา ทำให้เกิดผื่นแดงและคัน
   •     ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) : มักเกิดในเด็กเล็ก แต่สามารถเป็นต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่

วิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคภูมิแพ้
   •    หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เช่น ขนสัตว์เลี้ยง ไรฝุ่น แมลงสาบ
   •    ทำความสะอาดบ้าน เปลี่ยนผ้าปูที่นอนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
   •    ออกกำลังกาย ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
   •    พักผ่อนให้เพียงพอ 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน
   •    กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ผัก ผลไม้
   •    ปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรซื้อยากินเองเพราะอาจอันตรายต่อเยื่อจมูก

โรคภูมิแพ้สามารถรักษาหายขาดหรือไม่ ในปัจจุบันสามารถรักษาหายขาดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากก็จะรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม ร่วมกับการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอก็จะควบคุมอาการได้ ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง แพ้ค่อนข้างมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน ใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น แนะนำให้รักษาโดยการเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Immunotherapy โดยขั้นตอนการเปลี่ยน คือ หากผู้ป่วยแพ้ไรฝุ่นแพทย์ก็ทำการเพิ่มไรฝุ่นเข้าไปด้วยวิธีการพิเศษ เปลี่ยนจากการแพ้ให้เป็นความชินต่อสารก่อภูมิแพ้ การปรับภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากเป็นวิธีการที่อันตราย ต้องปรับโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น 

โรคภูมิแพ้แม้จะดูเหมือนเรื่องธรรมดา แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก หากเราเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน ก็จะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมใส่ใจสุขภาพตนเองและสภาพแวดล้อมในบ้าน เพื่อให้คุณและครอบครัวมีชีวิตที่สุขภาพดีและปราศจากภูมิแพ้