เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 16/2568 โดยภายหลังการประชุม รศ.ดร.ชัชพล ไชยพร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการพระพุทธศาสนา รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า ที่ประชุมมส. ได้มีมติเห็นชอบแนวปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด และแนวทางจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย เงินคงเหลือของวัด หรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด ดังนี้ กำหนดแนวปฏิบัติในการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคาร และการเก็บรักษาบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด 1.การเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ให้เปิดบัญชีกับธนาคารที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตจังหวัดที่วัดตั้งอยู่เท่านั้น 2. ระบุชื่อบัญชีเงินฝากธนาคารว่า “เงินของวัด…” หรือ “วัด…” เท่านั้น ห้ามมีคำว่า โดย… (บุคคลใดบุคคลหนึ่ง) ต่อท้ายชื่อวัด 3.ระบุชื่อผู้ที่มีอำนาจลงนามถอนเงิน หรือสั่งจ่ายเช็ค จากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัดอย่างน้อย 3 รูป/คน ประกอบด้วย เจ้าอาวาสที่ได้รับแต่งตั้งตามกฎหมาย ไวยาวัจกรที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าอาวาส และบุคคลที่เจ้าอาวาสเห็นสมควร 4.เงื่อนไขในการถอนเงิน หรือสั่งจ่ายเช็ค ให้กำหนดผู้มีอำนาจลงนามจำนวน 2 ใน 3 รูป/คน โดยมีเจ้าอาวาสลงนามด้วยทุกครั้ง 5.การถอนเงินฝากธนาคารของวัด ให้ใช้การถอนโดยใช้ใบถอนเงินของธนาคาร และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารเท่านั้น

รศ.ดร.ชัชพล กล่าวต่อไปว่า การเก็บรักษาบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด ให้เก็บรักษาในที่ปลอดภัย ไม่สูญหาย ส่วนแนวทางการจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย เงินคงเหลือของวัด หรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด ให้ดำเนินการดังนี้ 1.ให้วัดทุกวัดจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่ายของวัด และบันทึกบัญชีทุกครั้งที่มีรายการรับและรายจ่าย พร้อมให้สรุปเป็นรายเดือน และรวบรวมบัญชีรายรับ รายจ่ายวัดเป็นรายเดือน จำนวน 12 เดือน (ม.ค.-ธ.ค.) ส่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) แล้วแต่กรณี ภายในวันที่ 20 ม.ค.ของปีถัดไป โดยสำเนาเอาไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ ส่วนเอกสารหลักฐานประกอบรายรับ รายจ่าย ให้เก็บไว้ที่วัด 2.ให้วัดจัดทำรายงานเงินคงเหลือของวัด โดยจัดทำ ณ วันสุดท้ายของเดือนเป็นประจำทุกเดือน โดยให้รายงานทั้งเงินสด เช็ค และเงินฝากธนาคารที่เป็นบัญชีของวัดทุกบัญชี ที่ชื่อบัญชีเป็นชื่อของวัด และรวบรวมส่งพศ. หรือพศจ. แล้วแต่กรณี ภายในวันที่ 20 ม.ค.ของปีถัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ

3.ให้วัดทุกวัดพิจารณาใช้ระบบบัญชีมาตรฐานสำหรับวัดของพศ.ในการบันทึกบัญชีของวัด ซึ่งหากวัดใดได้นำระบบบัญชีมาตรฐานสำหรับวัดใช้ในการบันทึกบัญชีของวัดแล้ว ไม่ต้องดำเนินการจัดทำบัญชีตามข้อ 1 และ 2 อีก แต่วัดต้องรายงานบัญชีมาตรฐานสำหรับวัดส่ง พศ. หรือพศจ. แล้วแต่กรณี ภายในวันที่ 20 ม.ค.ของปีกัดไป โดยสำเนาเอกสารไว้ที่วัดด้วยทุกฉบับ ทั้งนี้ ในการจัดทำระบบบัญชีมาตรฐานสำหรับวัด ให้วัดพิจารณาได้ตามความเหมาะสมของวัด 4.กรณีวัดที่มีรายชื่ออยู่ในโครงการจัดทำบัญชีมาตรฐาน (สำหรับวัดนำร่อง) ให้จัดทำบัญชีระหว่างเดือน ต.ค.–มิ.ย. ในปีถัดไป และนำส่งรายงานให้แก่พศ. ภายในเดือน ส.ค.

รักษาราชการแทน ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวอีกว่า ให้วัดทุกวัดพิจารณาใช้ระบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) มาใช้สำหรับรองรับข้อมูลการรับบริจาคตามความเหมาะสมของวัด โดยให้เจ้าอาวาสปฏิบัติตามมติฉบับนี้ และให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ กำกับ กำชับ ติดตาม และดูแลเจ้าอาวาสในเขตปกครอง ให้บริหารศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย พระราชบัญญัติ กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบ มติ และคำสั่งที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามจะมีความผิดฐานละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ และมีโทษได้ ทั้งนี้ มส.ยังได้มอบหมายพศ. ดำเนินการกำหนดแบบบัญชีรายรับ รายจ่าย ของวัด และรายงานเงินคงเหลือของวัด พร้อมให้คำแนะนำแก่วัดในการจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และรายงานเงินคงเหลือของวัด รวมทั้งกำกับ ดูแล หรืออาจจะประสานงานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบ เช่น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจสอบภายในระดับจังหวัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น เพื่อทำการตรวจสอบบัญชีรายรับ รายจ่าย และรายงานเงินคงเหลือของวัด พร้อมทั้งหลักฐานประกอบได้ตามความเหมาะสม และให้รายงานการตรวสอบให้มส.ทราบ โดยให้ดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป