เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจ “ปราชญ์ สามสี” ได้ออกมาโพสต์วิเคราะห์ถึงกรณีกัมพูชาตัดสินใจตัดไฟฟ้าประชดไทย โดยประเมินสถานการณ์ผิดพลาด เพราะพึ่งพาไฟฟ้าจากไทยเป็นหลัก และไม่มีแผนรองรับ ส่งผลให้เศรษฐกิจชายแดนปอยเปตได้รับผลกระทบรุนแรง อีกทั้ง การคว่ำบาตรน้ำมันจากไทย ก็ยิ่งสร้างภาระให้กัมพูชา และส่งผลกระทบต่อเวียดนามอีกด้วย

“จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากัมพูชาเดินเกมทางการเมืองเหมือนจะดูดุดันนะครับ แต่จริงๆ แล้วกลับออกแนว “ร้อน” ทำไมถึงเป็นแบบนั้น เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ เริ่มกันที่กรณี “ตัดไฟฟ้าประชดไทย” ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และตอนนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างชัดเจน การที่กัมพูชาตัดไฟในเขตปอยเปตนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นมาตรการตอบโต้ทางการเมืองที่แข็งกร้าว แต่เบื้องหลังก็เต็มไปด้วยการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซ้อน และความพยายามเล่นเกมทูตแบบย้อนแย้งไร้แผนรองรับ”

ต้องย้อนกลับไปดูช่วงแรกของวิกฤติชายแดน กัมพูชามีท่าที “ชะล่าใจ” ค่อนข้างมาก กดดันไทยว่าเขามีสิทธิในพื้นที่ โดยเชื่อว่าไทยจะไม่กล้าตอบโต้แรง เพราะตอนนั้นรัฐบาล โดยเฉพาะคุณแพทองธารไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวใดๆ ทำให้ฝั่งเขาเชื่อไปว่าไทยไม่กล้าปิดด่านจริงจัง ในทางกลับกัน ฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยกลับแสดงท่าทีขึงขัง ชัดเจนว่า “อธิปไตยไทยไม่ใช่ของเล่น” มีการใช้มาตรการเบื้องต้น เช่น ปรับเวลาเข้า-ออกด่าน และเตือนว่า “หากกัมพูชายังคุกคาม จะตัดไฟ”

“แต่ฝั่งกัมพูชากลับคิดว่าไทยไม่กล้า ด้วยความมั่นใจที่อาจมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ โดยอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายจะปิดด่านก่อน แล้วก็เลยตัดไฟฟ้าเองเป็นการ “ประชดกลับ” แต่การ “อ่านเกมผิด” ครั้งนี้ ทำให้พังทั้งกระดาน แม้รัฐบาลไทยจะลังเลในตอนแรก แต่เมื่อแรงกดดันจากสังคมและภาครัฐเพิ่มขึ้น การปิดด่านก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคืนวันที่ 23 มิ.ย. 68 สิ่งที่ตามมาคือ “ภาวะช็อก” ของผู้นำกัมพูชาที่ประเมินผิดทุกจุด แก๊งพนันออนไลน์ในปอยเปตเริ่มอพยพออกจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจชายแดนกลายเป็นอัมพาตทันที”

นอกจากนี้ “แม้กัมพูชาจะพยายามปล่อยข่าวว่า ตัวเองมีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ แต่ข้อเท็จจริง คือ ไฟฟ้าในประเทศมีไม่เพียงพอ ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย และยังซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยอยู่อีกหลายจุดแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว และการจะหันไปซื้อไฟจากเวียดนามก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งจากข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณกำลังผลิต”

โดย “ปราชญ์ สามสี” พูดถึงกรณีว่ามีไฟสำรองจ่าย มีดังต่อไปนี้
1. ไฟฟ้าในเวียดนามผลิตได้พอใช้แค่ภายในประเทศ
2. ไม่มีเส้นทางส่งไฟฟ้าจากเวียดนามมายังฝั่งตะวันตกของกัมพูชา
3. หากจะสร้างโครงข่ายสายส่งใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีและเงินมหาศาล และที่พังยิ่งกว่า คือ การกระทำของกัมพูชากลับไปกระทบเวียดนามอย่างจัง ข้อมูลบางส่วนระบุว่า กัมพูชาอาจปิดด่านล่วงหน้า โดยหวังโยนความผิดให้ไทย แล้วหวังว่าไทยจะเปิดก่อน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเองในสายตาต่างประเทศ แต่กลายเป็นว่า “ไทยไม่เดือดร้อน” กลับ “เวียดนามซวยแทน”

“เพราะเส้นทางนำเข้าสินค้าจากไทย ไปเวียดนามจำนวนมากต้องผ่านกัมพูชา เมื่อด่านปิด เวียดนามก็ถูกตัดเส้นทางทันที ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว อีกด้านหนึ่งกัมพูชาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไทยลังเลจะปิดด่าน จึงรีบ “แสดงบทแข็ง” หวังจะชิงพื้นที่สื่อและปลุกกระแสภายในประเทศ เพื่อเอาใจฐานเสียงเดิมและฟื้นภาพลักษณ์ของตระกูลฮุน แต่ผลที่ได้ คือ คนเวียดนามและไทย “พร้อมใจกันไม่ประทับใจ” สิ่งที่สำคัญคือ การปิดด่านนี้ทำลายเศรษฐกิจของกัมพูชาเองอย่างจัง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของฝั่งปอยเปต มาจากระบบเศรษฐกิจ “สีเทา” ไม่ว่าจะเป็นบ่อนพนันออนไลน์, call center, hacker ฯลฯ ซึ่งเมื่อช่องทางเข้า-ออกถูกตัด รายได้พวกนี้ก็เหือดหายไปทันที และหากปิดยาวก็ยิ่งเจ็บลึก”

“ขณะที่การคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันจากไทย ก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ย้อนแย้ง เพราะน้ำมันไม่ใช่สินค้าที่สั่งวันนี้ได้พรุ่งนี้ ในตลาดโลกตอนนี้ ประเทศต่างๆ เริ่มอั้นน้ำมันเพื่อใช้ภายใน การจะหาน้ำมันจากแหล่งอื่นต้องใช้เวลา 3-6 เดือน เพราะเป็นระบบสัญญาล่วงหน้า ราคาก็สูงกว่าไทยอย่างเห็นได้ชัด แม้จะหันไปสิงคโปร์ ก็ยังต้องรอขนส่งอีกหลายเดือน ขณะที่กัมพูชาไม่มีระบบน้ำมันสำรองเหมือนไทย จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนเขมรแห่กักตุนจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่เรื่อยๆ สุดท้ายท่าทีของกัมพูชาที่ดึงดันเดินเกมนี้นานขึ้น ยิ่งทำให้เพื่อนบ้านในภูมิภาคหมดความอดทน โดยเฉพาะเวียดนามและลาว”

อย่างไรก็ตาม “การกระทำของกัมพูชาจึงไม่ใช่แค่พลาดทางยุทธศาสตร์ แต่กำลังเร่งให้ภูมิภาคหมดความเกรงใจในตัวเขา สุดท้ายแล้วคนที่ควรได้รับผลกระทบจากเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ควรเป็นแค่ประชาชนตาดำๆ ที่หาเช้ากินค่ำ จำเป็นต้องเดินทางข้ามแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเอาตัวรอด แต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับกรรมในเกมการเมือง ที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย และหากพูดถึงเรื่อง “ดินแดน” ถ้าไทยยืนยันหนักแน่นว่านั่นคือแผ่นดินไทย กัมพูชาก็ไม่มีวันได้อยู่ดี ต่อให้กดดันแค่ไหน ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเองครับ”

ขอบคุณข้อมูล : ปราชญ์ สามสี