เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่รัฐสภา กรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ประชุมลับ เรื่องเครือข่ายกลุ่มทุนในราชอาณาจักรกัมพูชา การปราบปรามการฟอกเงิน และกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยเชิญสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้นำเหล่าทัพ และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าร่วมประชุม

โดยระหว่างการประชุม นายวิโรจน์ ได้แถลงข่าวว่า วันนี้ทางคณะกรรมาธิการทหาร ได้ประชุมหารือกันเกี่ยวกับเส้นทางการเงินการเชื่อมโยงของกลุ่มทุนในประเทศกัมพูชาที่อาจเชื่อมโยงกับการก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ว่าจะมีกลไกป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่สามารถดำเนินงานได้ตามกฎหมาย ซึ่งจะได้เป็นการปกป้องคนไทยให้ปลอดภัยจากอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเราต้องพูดถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์และพนันออนไลน์ รวมถึงธุรกิจสีดำ และที่น่ากลัวที่สุดคือการค้ามนุษย์และการค้ายาเสพติด

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในข้อเสนอที่เป็นไปได้เบื้องต้น เราเชื่อว่าทาง ปปง. และตำรวจไซเบอร์ (สอท.)  น่าจะมีศักยภาพและข้อมูลระดับหนึ่งอยู่แล้ว ถึงธุรกรรมทางการเงิน ในการโอนเงินไปมาระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะเงินทุก 7 แสนบาทขึ้นไป ต้องรายงานให้ ปปง. ทราบ หรือถ้าเป็นเงินสดเข้าใจว่าต้องขออนุญาตทางธนาคารแห่งประเทศไทยหรือศุลกากรในการขนเงินสดและมีข้อมูลอยู่แล้ว ทางคณะกรรมาธิการจะขอข้อมูลเส้นเงินย้อนหลัง 10 ปี เพื่อพิจารณาการเติบโตทางการเงินระหว่างไทย-กัมพูชาจะได้วิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าหากวันนี้ทางนายกรัฐมนตรี สั่งการอย่างจริงจังให้ทาง ปปง.และ สอท. เร่งทำงานกับหน่วยงานนานาชาติ ก็สามารถทำงานได้เลย เพราะมีข้อมูลการฟอกเงินคนถ่ายเงินหรือธุรกรรมที่ผิดปกติ หากเราพบความผิดปกติก็เชื่อว่าจากข้อมูลที่ได้จากในกรรมาธิการ มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาและประเทศที่ถูกขึ้นบัญชีดำ จากองค์กรป้องกันการฟอกเงินและการเงินที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หากได้ข้อมูลที่ครบถ้วนก็ให้ ปปง.รายงาน ซึ่งเงินที่ผิดกฎหมายให้กับทางองค์กรป้องกันการฟอกเงินทราบผ่านกลไก ICRG เพื่อให้พิจารณาขึ้นเป็นบัญชีสีเทาหรือแบล็กลิสต์ ข้อดีจะได้เป็นการสกัดกั้นอาชญากรรมทางไซเบอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงพนันออนไลน์จะลดลง

นายวิโรจน์ กล่าวว่า เราสันนิษฐานว่าในกรณีนี้อาจเกี่ยวข้องกับบริษัท ฮุยวัน (Huione) ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเงินที่สำคัญ ที่เชื่อมโยงกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และพลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเข้าใจว่าหน่วยปราบปรามการฟอกเงินของสหรัฐ ดำเนินการสืบสวนสอบสวนติดตามกรณีนี้อยู่ หากรัฐบาลเรามีความตั้งใจจริงก็สามารถทำงานร่วมกันกับสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งความจริงแล้วประเทศกัมพูชาถูกขึ้นบัญชีสีเทาตั้งแต่ปี 2519 เพิ่งจะปลดในปี 2023 หากเรามีหลักฐานเส้นเงินต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับประเทศที่ติดแบล็กลิสต์ขององค์กรป้องกันการฟอกเงิน ก็จะเป็นมูลเหตุทำให้ประเทศกัมพูชากลับไปติดบัญชีสีเทา หรืออาจติดบัญชีสีดำ ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมการเงินต่าง ๆ ในประเทศกัมพูชาจะถูกตรวจสอบอย่างหนัก หรืออาจถูกห้ามทำธุรกรรม นอกจากประเทศไทยจะได้อานิสงส์แล้ว โลกใบนี้ก็จะปลอดจากอาชญากรรมไซเบอร์ด้วย

นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า ส่วนอีกข้อเสนอตนอยากจะร้องขอไปยังนายกรัฐมนตรีให้เร่งสั่งการให้มีคณะทำงานเร่งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมไซเบอร์ทั้งหมด และพิจารณาการลงนามให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยอาชญากรไซเบอร์ 2024 หรือ UNCC2024 หากเราจะเป็นประเทศที่ร่วมก่อตั้ง ก็ต้องลงนามภายในวันที่ 31 ธ.ค. 2569 และหากเราตรวจพบว่ามีการทำอาชญากรรมไซเบอร์ เราสามารถขอความร่วมมือภาคีส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้ และดำเนินคดีข้ามประเทศได้ ตรงนี้เราสันนิษฐานว่าแหล่งการทำอาชญากรรมไซเบอร์แหล่งใหญ่แห่งหนึ่งในภูมิภาคก็อาจจะเกิดขึ้นที่ประเทศกัมพูชา 

“สิ่งเดียวที่นายกรัฐมนตรีกังวล ซึ่งหากสังเกตคือนายกฯ ไม่เคยตอบแล้วไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย หลังจากที่สมเด็จฮุน เซนเคยระบุว่าจะเปิดชื่อนักการเมืองไทยที่มีอยู่ 7 คนซึ่งไปฟอกเงินที่กัมพูชา และวันนี้จากการหารือใน กมธ. เราก็งงว่าถ้าเปิดมาแล้วกลัวอะไร ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่าหากเปิดมาแล้ว 7 ชื่อ และพบว่าคนในนั้นมีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นเครือญาติของรัฐมนตรี หรือเป็นเครือญาติของนายกรัฐมนตรี ส่วนในกรณีที่เป็นรัฐมนตรีจะเกิดปัญหา คือ การรายงานทรัพย์สินบัญชีต่อ ป.ป.ช. อันเป็นเท็จ ว่าร่ำรวยผิดปกติ และอาจเกี่ยวพันกับการทุจริต ซึ่งหากเข้าข่ายการกระทำความผิดในการทุจริตก็จะเป็นความผิดมูลฐานที่ ปปง. สามารถเข้าไปสืบและอายัดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือความกังวลที่อยู่ในใจของนายกฯ หรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า หากนายกฯ ใช้มาตรการควบคุมด่านทถ้าไตร่ตรองดีแล้วผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แล้วก็สามารถดำเนินการได้แต่อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าการควบคุมด่านส่งผลกระทบต่อทั้งประชาชนและผู้ประกอบการของไทย ซึ่งในวันนี้เรายังไม่เห็นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนที่ทำการค้าตามแนวชายแดนอย่างน้อย 7 จังหวัดเลย แต่หากมีความจำเป็นต้องควบคุมด่าน ตนไม่เห็นแย้งแต่ยังยืนยันว่าต้องมีมาตรการในการช่วยเหลือผู้ประกอบการชาวไทยและคนไทย

เมื่อถามว่าการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมลับในวันนี้ผลถือว่าพอใจหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า เห็นกลไกที่คิดว่าได้ผลกว่าควบคุมด่าน ซึ่งตนคิดว่ามาตรการที่พุ่งเป้าไปที่กระเป๋าสตางค์ของตระกูลฮุน จะสามารถกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ที่หลอกหลอนประชาชน ซึ่งการพนันออนไลน์มีการประเมินแล้วว่าประเทศไทยสูญเสียเงินไปกว่า 60,000 ล้านบาท แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 30,000 ล้านบาท ทุกคนรับทราบถึงปัญหานี้ดีทำไมไม่เลือกมาตรการนี้ จะได้แก้ปัญหาในประเทศและกดดันตระกูลฮุนไปด้วย โดยที่นานาประเทศให้ความร่วมมือ

“จำฝรั่งเศสได้หรือไม่ กรณีการเสียชีวิตของนายลิม กิมยา นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชา ซึ่งเขามี 2 สัญชาติกัมพูชาและฝรั่งเศส การเสียชีวิตที่ใจกลางเมือง กทม. ฝรั่งเศสแถลงการณ์ประณามด้วยซ้ำไป และหากคลิปจากอัลจาซีรา เป็นเรื่องจริง เสียงของคนที่คล้ายฮุน เซนเป็นคนสั่งการปฏิบัติการกำจัดฝ่ายตรงข้าม โดยที่ร่วมกับตำรวจไทย คำถามคือผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตำรวจไทยคือนายกรัฐมนตรี นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้ฮุน เซนสั่งการนายกรัฐมนตรี ให้มาฆ่าคนเย้ยกฎหมายในราชอาณาจักรไทย ไม่ต้องสนใจขื่อแปประมวลกฎหมายอาญาในประเทศไทยแล้วหรือ” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า หากดำเนินการตามมาตรการที่แนะนำไปจะได้เคลียร์ชนักติดหลังของนายกรัฐมนตรีด้วยว่าเป็นลูกสมุนฮุน เซน ซึ่งเรื่องอาชญากรรมทางไซเบอร์ในกัมพูชานอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ยังมีประเทศในแถบสแกนดิเนเวียและตำรวจสากล พร้อมที่จะทำงานร่วมกัน รวมไปถึงประเทศจีนด้วย นายกรัฐมนตรีควรจะทำงานร่วมกับนานาประเทศ หากสำเร็จ เราจะลดทอนความชอบธรรมของกัมพูชาในเวทีสากลทันที แล้วข้อเรียกร้องที่ไปขึ้นศาลโลกจะไม่สมเหตุสมผล

“หมายความว่าอะไรครับ ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวพันกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ อ้อ เป็นแหล่งซ่องสุม การกระทำผิดกฎหมายต่างๆ คุณก็ไร้ความชอบธรรมแล้ว ในเบื้องต้นในเวทีสากลหรือนานาชาติ ส่วนที่บอกว่า 7 รายชื่อก็เปิดมาเลย จะได้รู้ว่าเป็นใครจะได้จัดการในคราวเดียว หรือท่านนายกฯ กลัวว่าเปิดมาจะเจอเครือญาติของท่าน เพราะหลายท่านก็ทราบว่าญาติของท่านนายกฯ ไปแต่งงานกับทางฝั่งนั้น ผมไม่อยากตั้งข้อสังเกตแต่การประชุมในวันนี้ทำให้ผมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้” นายวิโรจน์ กล่าว.