กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิด “ภาพสเกตช์” ชาย-หญิงต่างชาติ ที่คาดว่าอาจมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุฆาตกรรม  เนื่องจากมีการเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุในเวลาใกล้เคียง อาจเห็นคนร้าย หรือเหตุการณ์ที่เกิด และนำไปสู่การคลี่คลายปริศนาหาตัวคนร้ายเมื่อ 18 ปีก่อน

แต่ก่อนคดีจะคืบหน้า “ทีมข่าวอาชญากรรม” พาย้อนที่มาภาพสเกตช์ “ชายฝรั่งเศส กับหญิงยุโรป” เหตุใดจึงเพิ่งปรากฏทั้งที่เวลาล่วงเลยมานาน

เรื่องนี้ นายสุวพิชญ์  มโนภาส  ผอ.ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ปฏิบัติหน้าที่รอง ผอ.กองคดีความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนที่ 6/2568 กรณีการฆาตกรรมโทโมโกะ  เผยเบื้องหลังเกิดจากการปัดฝุ่นสืบสวนที่เริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ได้รับมอบหมายให้สานต่อภารกิจ ทีมสืบสวนของตนเองจึงได้นำพยานหลักฐานที่เคยปรากฏในสำนวนเมื่ออดีตมากางดูใหม่ทั้งหมด 

ส่วนสาเหตุที่ชุดสืบสวนไปพบร่องรอยเบาะแสพยานต่างชาติ 2 รายนี้ในเวลาใกล้เคียงช่วงเกิดเหตุ มาจากการเน้นข้อมูลไปยังระดับพื้นที่และการข่าวเชิงลึก  มีการดูสำนวนคดีเดิม การลงพื้นที่ไป จ.สุโขทัย ลักษณะทำงานเหมือนเป็นการจับชิ้นส่วนข้อมูลแล้วค่อยต่อ “จิ๊กซอว์” กลายเป็นการระดมความร่วมมือของดีเอสไอและหน่วยงานภาคี อย่างสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำให้มีมุมมองเรื่องเทคโนโลยีที่แตกต่างขึ้น และเป็นประเด็นที่มาเกิดขึ้นในภายหลัง ไม่ได้เน้นไปที่ข้อเท็จจริงเดิมๆ ตามที่เคยปรากฏเท่านั้น

นายสุวพิชญ์ กล่าวต่อว่าช่วงลงพื้นที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้พูดคุยกับพยานบุคคล ซึ่งอดีตเคยเป็นพนักงานร้าน Coffee Cup ในตัวเมืองสุโขทัยช่วงวันเกิดเหตุ เมื่อได้รับฟังจึงได้ข้อมูลใหม่ คือ พยานต่างชาติ 2 ราย ประกอบกับพยานหลักฐานอื่น อาทิ คลิปวงจรปิดในอดีต จนได้มาซึ่งการสเกตช์ภาพ ตำหนิรูปพรรณสัณฐานของพยาน

“อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาที่ล่วงเลยมา 18 ปี ก็มีความเป็นไปได้ว่าหากโชคดีได้พบพยาน แต่ถึงเวลานั้นทั้งคู่อาจจำไม่ได้ว่าเคยมาท่องเที่ยวสถานที่ดังกล่าว หรือเคยมีกิจกรรมชีวิตอย่างไรใน จ.สุโขทัย แต่เราก็ไม่ปิดกั้นหนทางการได้มาซึ่งความคืบหน้า”

หลังจากนี้ นายสุวพิชญ์  ระบุ กองกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ของดีเอสไอจะรับผิดชอบการประสานระหว่างทางการไทยกับญี่ปุ่น รวมถึงประเด็นที่พยานทั้งสองพำนักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน อาทิ ฝรั่งเศส เพื่อขอความร่วมมือทั้งคู่เข้าให้ข้อมูล ช่วยร้อยเรียงเหตุการณ์จากภาพถ่ายของตัวเอง หรือพยานหลักฐานใดที่มีทั้งของดีเอสไอและของทั้งคู่ ให้มีความต่อเนื่องในส่วนใดส่วนหนึ่ง 

สำหรับเบาะแสที่ดีเอสไอจะได้จากนี้ จะถูกนำไปใช้กับการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ที่ปัจจุบันค่อนข้างก้าวหน้ามากขึ้น มีฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลมากขึ้น ทุกอย่างจะถูกนำมาประมวลและประกอบกันให้เป็น “ภาพขนาดใหญ่” ที่เห็นความชัดเจนกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังมีเครือข่ายของดีเอสไอในต่างประเทศที่จะส่งรายละเอียดข้อมูล คลิปวิดีโอที่จัดทำไว้ไปเผยแพร่ข้อมูลให้คนในพื้นที่ช่วยตามหาพยานต่างชาติ เผื่อว่าคนในพื้นที่เห็นข้อมูลและมีเบาะแสจะได้แจ้งกลับมาที่ดีเอสไอ หรือผู้ประสานงานทางเครือข่ายของดีเอสไอในพื้นที่นั้น ๆ

ส่วนข้อกังวล “อายุความ” ซึ่งปัจจุบันผ่านมาเกือบ 18 ปี จากอายุความคดี 20 ปี นายสุวพิชญ์ ยอมรับอายุความไม่มีผลมากนัก  ด้วยนักนิติวิทยาศาสตร์อาจมาดูข้อมูลและพยานหลักฐานกันใหม่ เพราะเทคโนโลยีใหม่มากขึ้น อาจทำให้พบกับสิ่งจำเป็นทางการสืบสวน นำไปสู่การติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี  และจะเป็นการฟื้นสำนวนคดีพิเศษเดิมที่อัยการเคยสั่งงดการสอบสวนไป  เนื่องจากขณะนั้นตามหาตัวผู้ก่อเหตุไม่พบ ขณะนี้จึงเป็นประเด็นของการสืบสวนหาตัวผู้ฆาตกรรมโทโมโกะให้ได้  หากพบเจอพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใด จะมีการประมวลเรื่องขออำนาจอธิบดีดีเอสไออนุมัติให้ดำเนินการสอบสวนต่อไป

“ตอนนี้นับว่าเป็นการเริ่มสเต็ปการสืบสวน เพื่อให้เห็นภาพรวมของคดี โดยที่เราก็ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ทันทีเลยว่าจะเจอหรือไม่เจออะไรบ้าง  แต่เราก็หวังด้วยการทำงานเต็มที่เช่นนี้ จะทำให้เจอสิ่งบ่งชี้ หรือเบาะแสร่องรอยอะไรได้บ้าง เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง” นายสุวพิชญ์ ทิ้งท้าย.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน