จากกรณี นายอำคา ปะติกานัง อายุ 69 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ถูกนายชยพล ปะติกานัง หรือ “เบ็ก” อายุ 21 ปี หลานชายแท้ ๆ ของตัวเอง ใช้มีดปอกผลไม้แทงเข้าอกซ้าย ซี่โครงขวา กับหน้าท้องขวา รวม 3 แผล เสียชีวิตขณะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลสตึก ภายหลังเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัวได้ ก่อนคุมตัวไปสอบสวนยังโรงพักสตึก ระหว่างสอบปากคำยังคงให้การวกไปวนมา พอถ่ายรูปทำประวัติ ก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยยอมรับว่าเสพยาบ้าเข้าไปจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ได้หลอนยา ที่ก่อเหตุเพราะอยากแทงเฉย ๆ เหตุเกิดเมื่อเวลา 18.30 น. เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.อ.สตึก ทางพนักงานสอบสวนได้คุมตัว “นายเบ็ก” ไปสอบสวนเพิ่มเติม ปรากฏว่าสีหน้ากลับเป็นคนละคน กลายเป็นมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา คาดว่าน่าจะได้สติ หลังจากหลับพักผ่อนจนหายจากอาการหลอนยาเสพติดแล้ว โดยระบุว่าสาเหตุที่แทงตาแท้ ๆ ของตัวเอง เป็นเพราะคิดว่าตานั่งดูทีวีทั้งวัน โดยไม่แบ่งให้ตนได้ดูช่องอื่นบ้าง ตกเย็นเห็นตานั่งเล่นอยู่บนจยย.พ่วงข้าง ทำให้เกิดความคิดชั่ววูบ ฉวยมีดไปจ้วงแทงจนถึงแก่ชีวิต ตอนนี้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปเป็นอย่างมาก เบื้องต้นแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น และเสพยาเสพติด (ยาบ้า) ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการทางกฎหมาย.

ขณะที่ นางวรานุช ศรีวิชา อายุ 52 ปี ยายผู้ต้องหา บอกว่า นายเบ็ก อยู่กับตา มาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองคนรักกันดี เพราะตาเป็นคนเลี้ยงหลานเป็นคนนิสัยดี ยิ้มง่าย ไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อน แต่หลังจากไปทำงานกรุงเทพฯ แล้วกลับมาเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ปรากฏว่าหลานมีนิสัยเปลี่ยนไปมาก จนกระทั่งครอบครัวรู้ว่าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สาเหตุที่มาก่อเหตุในครั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเพราะยาเสพติด.