ถูกจับตามองทุกย่างก้าวจริงๆ สำหรับคู่ของ ครูไพบูลย์ แสงเดือน และภรรยาสาว กระต่าย พรรณนิภา ที่ทำอะไรก็เป็นกระแสไปเสียหมด แถมยังมีดราม่ามาตลอดให้ได้คิดและแก้ไขอยู่เสมอ ล่าสุดทั้งสองคนได้ไปพูดคุยในรายการคุยแซ่บ Show ถึงเรื่องราวในอดีตและความรักของทั้งสองคนรวมถึงโมเมนต์การก้าวข้ามดราม่าอีกด้วย

กระต่าย เผยว่า “หลังจากเปิดตัวกันก็เป็นเรื่องราวใหญ่โต เครียดมากเลยค่ะเราก็ ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ค่ะเพราะปกติแล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ไม่มีคิดเรื่องอะไรแบบนี้ แต่พอเจอแบบนี้เราก็เครียดแล้วก็มีร้องไห้ มีขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว ก็เครียดหนักมาก หลังแถลงข่าวกระทบเรื่องงาน เยอะเลยค่ะทั้งช่องยูทูบแล้วก็ร้านอาหาร ก็โดนปิดกิจการไปช่วงหนึ่งเพราะมีคนมาถ่ายรีวิวว่าอย่างงั้นอย่างงี้ก็ว่าให้เรา ก็เลยต้องปิดนิดนึงเพราะว่าให้มันผ่านกระแสช่วงนี้ไปก่อน อย่างที่บอกหนูเครียดมากค่ะ เปิดในโลกออนไลน์ก็จะมีคนมาด่าเรา ทักแชตมาก็มี หนูก็เครียด ก็ขังตัวเองในห้อง ไม่อยากออกไปเจอใคร มันเหมือนกับเราเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก เป็นอยู่ช่วงแรกๆ 1-2 อาทิตย์”

“หนูเองก็อยากมีลูกช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเราอยากมีครอบครัว อยากมีคนมาเติมเต็มคำว่าครอบครัวของเราให้มันสมบูรณ์แบบ ทีนี้ก็คุยกันว่าอยากได้ลูกแฝดนะ ทีนี้ก็ว่าจะไปทำแล้ว แต่มีน้องเพลินเพลงก่อนก็เลยไม่ได้ทำค่ะ ในความคิดหนู หนูพร้อมแล้วค่ะ พร้อมที่จะมีครอบครัวแล้ว ถามว่าเร็วมั้ยก็ในชีวิตของเราในความคิดของเราคิดว่าพร้อมแล้วที่เราจะมีลูกแล้วก็สร้างอนาคต สร้างทุกสิ่งทุกอย่างไว้เพื่อตัวเองแล้วก็ลูกเรา”

“อายุห่างกันปัญหาคือครูเองเป็นแกคิดหัวโบราณอะค่ะ ก็ไม่ทันศัพท์ของวัยรุ่น แล้วก็จะแบบอิหยัง คืออิหยังนิ บางครั้งแกไม่ทันอะไรแบบนี้ เราเป็นคนอธิบาย พออธิบายบางครั้งก็ไม่เข้าใจก็เครียด คบกันข้อตกลงคือข้อตกลงของหนูตอนที่คบกันแรกคือขอตังค์เดือนละ 50,000 ได้มั้ย จะไปซื้อเสื้อผ้า อันนี้ขอเฉพาะนอกเหนือจากเงินเดือน บางทีเราอยากได้ถ้าใส่ไม่ได้ก็เก็บไว้ในตู้คือแฟชั่น เราใส่ชุดนี้ถ่าย MV เราก็เปลี่ยนไปอีกชุดนึงแบบนี้ค่ะ”

ครูไพบูลย์ เผยว่า “เรื่องเปิดตัวกันช่วงนั้นเราเครียดเพราะวันที่เราออกมาเปิดตัวเราแฮปปี้มากวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่เรามาแถลงข่าวว่าเรายอมรับนะว่าเรามีน้องแล้วเราก็คบหากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็มีจดทะเบียนสมรสกัน แต่หลังจากนั้นมีฟีดแบ็กอีกแบบหนึ่งที่มีเรื่องราวดราม่าที่ผ่านรายการต่างๆ ตอนแรกมันไม่ถือว่าต้องปกปิด แต่มันยังไม่ถึงเวลามันยังไม่ถึงเวลาอันสมควร เอาเป็นว่าเราคุยกันตลอด เพราะว่าทุกคนในครอบครัวรวมถึงองค์กรเราจะรู้แล้วว่าตอนนี้มีน้องนะ แต่เราพยายามทำงานแล้วก็รักษาภาพมันเป็นส่วนของศิลปินไม่อยากให้เขามองว่าทำไมมีน้องแล้วมีลูกเราอุตส่าห์ติดตามเราอุตส่าห์ชอบ ผมตัดสินใจแถลงเลยครับแถลงข่าวให้ทราบว่าตอนนี้เราคบกันแล้วก็มีน้องด้วยกันตอนนี้น้องก็ได้ 5 เดือนแล้ว เอาจริงๆ มันมีช่วงหนึ่งช่วงแรงๆ เลยนะครับ ช่วงสองสามเดือนแรกคือนอกจากยูทูบ ผมทำเพลงใหม่ไม่ได้เป็นเดือนเลย ทำลงก็โดนด่า แล้วเขามีตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อดิสไลค์หรือว่าเป็นบูลลี่ เราไม่อยากทำอะไรเลยร้านอาหารเปิดตั้งแต่ มิถุนา-กรกฎา แล้วพอมาเจอแบบนี้ก็ต้องไปปิดก็เกือบเดือน ช่วงแรงๆ มีบางคนเข้ามาทานอาหารก็บอกทำยังไงก็ได้ให้ร้านเราไม่ได้พักสักแป๊บนึงแล้วมาปรับปรุงเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น”

“ส่วนที่คนมองว่าความรักเราเป็นความรักไม่เหมาะสม เขาอาจจะมองหรือว่าเสพข่าวอีกมุมหนึ่ง ที่จริงแล้วผมลาออกจากราชการออกจากครูตั้งแต่ปี 61 ซึ่งมันนานมาแล้วและเราเพิ่งคบกันจริงจังคือช่วงต้นปี 63 ตอนนั้นคือเริ่มหึงหวง เริ่มมีแอบสงสัยเขาคุยกับใครช่วงนั้น กระต่ายอกหักพอดี ก็เลยไปปรึกษา ว่าความคิดผู้ชายทำไมคิดแบบนี้ มันคิดยังไงมันเป็นอะไร จริงๆ แล้วก็ห้ามเราไม่อยากให้มีตั้งแต่แรกเลย ผมก็เคยผ่านชีวิตแบบมีแฟนก็ค่อนข้างที่จะมาเรื่อยๆมันไม่มีความสุขเลย สุดท้ายรัก เลิกรา หย่าร้าง แต่ถ้ามันหย่าร้างกันไปแล้วจบกันด้วยดีมันจะแฮปปี้เป็นเพื่อน เป็นพี่ แต่เมื่อไหร่จบกันด้วยอคติจบกันด้วยความไม่พึงพอใจมันก็จะเป็นปัญหา ผมเลยบอกว่าอย่าเพิ่งมีเลย รอให้พร้อม ผมจะบอกว่าให้หาเงินก่อน หาเงินให้ได้เยอะๆ ผมเป็นคนที่เครียดในเรื่องของการวางแผนเรื่องการเงินมากผมวางแผนให้นะครับ ทั้งครอบครัวน้องแล้วการเงินน้อง เวลารับงานจะเคลียร์กับเด็กทุกคนในค่ายก็เหมือนกัน ผมบอกว่าจะเกิดอะไรก็แล้วแต่หาเงินได้เยอะก่อน เมื่อไหร่ที่เรามีเงินมีฐานะทางการเงิน ครอบครัว คนรัก มาทีหลังแล้วมันจะสมบูรณ์แบบ”

“ถามว่าเป็นความรักได้ยังไง เป็นความเมตตาแบบมันเห็นอกเห็นใจกัน เกิดจากความใกล้ชิดและความสงสาร บางครั้งน้องครอบครัวน้อง แม่ไม่สบายเขาไม่มีคนดูแลบ้างผมก็ต้องไปช่วยหยิบยื่นได้ก็เข้าไปช่วย คุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเรื่องการเงินเป็นหนี้เราก็น้องเอาตรงนี้ไปช่วยพ่อช่วยแม่ ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่จะไม่โอเค มีช่วงนึง ช่วงแรกตั้งแต่ตอนไปคอนเสิร์ตใหม่ๆ คุณแม่บอกว่าไม่อยากให้คบกับใครไม่อยากให้มีเรื่องชู้สาวให้โสดก่อน ถ้ามีแม้แต่กับครูหรือกับใครก็แล้วแต่แม่จะให้เลิกทำเลย ให้กลับไปเรียนเหมือนเดิม เราจึงเซฟตัวเองมาก ทำงานก็จะคุยกันเฉพาะเรื่องงาน ผมหึงเขาช่วงเขาเริ่มมีเพื่อนผู้ชายคุย ต้นปี 63 เริ่มรู้สึกแล้วว่าเราไม่มีใคร เราเคว้งคว้างมานาน คุยมาเรื่อยๆ มันไม่มีความจริงจังเลย สุดท้ายเราอายุผ่านไปแล้วจะตั้งหลักยังไงได้ก็เริ่มหา พอดีน้องอยู่ใกล้อยู่บ้านใกล้กันไปซื้อบ้านใกล้กัน ความใกล้ชิดเพิ่มขึ้น เรารู้สึกว่าเค้ามาเติมเต็มในส่วนที่เราขาดไป และเค้าก็รักแม่ รักลูกของเรา รักทุกคนในครอบครัว แม้แต่พี่ชายผมเค้าจะสนิทกับทุกคนในครอบครัวผมมาก”

ครูไพบูลย์ เล่าต่อว่า “เรื่องเอาชนะใจแม่เขา เพราะผมให้ใจและให้ทุกอย่าง อย่างเรื่องเงินผมจะให้เห็นเป็นอันดับแรกเลยว่า คุณแม่ครับวันนี้เราได้เท่านี้นะครับ แล้วผมแบ่งน้องเท่านี้ ค่าใช้จ่ายผมทุกเดือนเท่านี้นะครับ เราชัดเจนแล้วแม่รู้สึกว่าเราเคลียร์ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นผมก็บอกว่าครอบครัวผมมีแค่นี้นะ มีพี่ชาย มีแม่ เพราะว่าคุณพ่อผมก็เสียนานแล้ว เราเกิดมาจากความยากจน เราเลยเห็นอกเห็นใจกัน ผมเลยวางแผนว่าถ้าเราไปซื้อบ้านใกล้ๆกัน น้องก็ได้ทำงาน เริ่มไปหาคุณแม่แล้วช่วงปี 63 ขั้นแรกมันเป็นเรื่องของความจริงใจในการทำงานก่อน ทำงานซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อกัน หลังจากนั้นพอรู้ว่าเราแอบชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน คุณแม่ก็เริ่มมองแล้วว่าหนูพร้อมมั้ย อนาคตจะเป็นยังไง ถ้าวันนึงไม่มีกระแสแล้วไม่มีเพลงแล้วจะอยู่ยังไงต่อ แล้วครูจะจริงใจมั้ย เพราะตอนนั้นผมก็มีไปเรื่อยๆ คุยไปเรื่อยๆ แม่จะพูดกับผมว่าครูหยุดได้หรือยัง”

“ส่วนเรื่องข่าวในอนาคตถ้าลูกโตมาเจอ ผมว่าในส่วนของเราจะให้เรื่องความรัก ระบบครอบครัวมากกว่า เมื่อเค้าโตขึ้นเค้าจะได้เรียนรู้เองว่าถูกผิดคืออะไร แล้วเรื่องราวที่ผ่านมา เพราะผมรักลูกทั้ง 2 คนมาก ผมตั้งเป้าไว้เลยว่าอยากส่งเค้าเรียนต่างประเทศ เราเกิดมายากจน พอเราพอหาได้บ้าง ก็อยากส่งเสียเค้าให้เค้าได้รับการศึกษาที่ดี ได้รับคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ง่าย”