“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เดินทางไปส่งทีมชาติไทย ที่ยกพลลุยประเทศสิงคโปร์ เตรียมแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020” ระหว่างวันที่ 5 ธ.ค.64- วันที่ 1 ม.ค.65 โดยได้เดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ไปสิงคโปร์ เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 1 ธ.ค.64 ด้วยสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบินเอสจี707

ขุนพลนักเตะในไทยลีก นำโดย ธีรศิลป์ แดงดา, สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด, สารัช อยู่เย็น ฯลฯ โดยมี ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย เดินทางไปส่งด้วย ทั้งนี้เมื่อไปถึงประเทศสิงคโปร์ ทีมชาติไทย จะกักตัว 1 วัน เพื่อรอผลตรวจโควิด-19 และจะลงฝึกซ้อมอีกครั้งในวันที่ 2 ธ.ค.

ส่วนผู้เล่นที่มาจากต่างประเทศนั้น “ตอง” กวินทร์​ ธรรมสัจจานันท์, “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร, โจนาธาน เข็มดี ไปสมทบที่ประเทศสิงคโปร์ ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมชาติไทยเดินทางไปถึงวันที่ 1 ธ.ค.นี้เลย ทำให้จะได้ร่วมซ้อมวันที่ 2 ธ.ค. ทันที ขณะที่ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน จะตามไปวันที่ 6 ธ.ค. ทั้งนี้ เจ้าเจ เคยเปิดเผยถึงเบอร์เสื้อด้วยว่า จะใช้ เบอร์ 18 ที่เป็นเบอร์เก่ง

ทั้งนี้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ กล่าวถึงการตัดสินใจแต่งตั้ง “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ดาวเตะคอนซาโดเล ซัปโปโร เป็นกัปตันทีมชาติไทย ว่า แม้อายุแค่ 28 ปี แต่โชว์ฟอร์มได้ดี เป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จ และครั้งแรกที่ติดทีมชาติชุดใหญ่ก็คือรายการอาเซียนคัพ 2012 แล้วมาคว้าแชมป์ 2014, 2016 จึงเหมาะสมในเวลานี้ที่สุด นอกจากนี้การตั้ง ชนาธิป เป็นกัปตันทีม อาจจะทำให้ได้มุมมองใหม่ๆ ด้วย และทุกคนที่ไปก็มีความสำคัญหมด ไม่ใช่แค่กัปตันทีมคนเดียวเท่านั้น

สำหรับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ เคยได้รับโอกาสเป็นกัปตันทีมชาติไทย ในรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อปี 2016 แต่สำหรับทีมชาติไทยชุดใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวจะได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม

โปรแกรมกลุ่ม A ของทีมชาติไทย วันที่ 5 ธ.ค. พบ ติมอร์เลสเต, วันที่ 11 ธ.ค. พบ เมียนมา, วันที่ 14 ธ.ค. พบ ฟิลิปปินส์ และ วันที่ 18 ธ.ค. พบ “เจ้าภาพ” สิงคโปร์ โดยก่อนหน้านี้ มาดามแป้ง เพิ่งเสริมขวัญกำลังใจทีม ประกาศอัดฉีด ถ้าได้แชมป์ให้ 20 ล้านบาท รวมกับเงินรางวัลจากการแข่งขันราว 10 ล้านบาท ทำให้หาก ช้างศึก ได้แชมป์ จะได้เงิน 30 ล้านบาท.