สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี ยกระดับมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ เดลตา และ โอไมครอน ที่มีแนวโน้มทำให้ผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวนี้ เขาขอให้ประชาชนร่วมกันฉีดวัคซีนให้มากที่สุด รวมถึงการฉีดเข็มกระตุ้นหรือบูสเตอร์ด้วย


ขณะเดียวกัน รัฐบาลกลางจะประสานงานกับบรรดาบริษัทประกันชีวิต ในการให้บริการที่ครอบคลุมการตรวจคัดกรองโควิด-19 สำหรับผู้ประกันตน “โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” กล่าวคือ ให้มีการนำหลักฐานมาขอเบิกจ่ายภายหลัง และจัดชุดตรวจโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลอีกมากกว่า 50 ล้านชุด โดยไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเช่นกัน เบื้องต้นน่าจะเริ่มได้อย่างเป็นทางการ ในช่วงต้นเดือนม.ค.ปีหน้า

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำท่าอากาศยานนานาชาติทอม แบรดลีย์ ในนครลอสแอนเจลิส ตรวจคัดกรองนักเดินทางคนหนึ่ง


นอกจากนี้ ไบเดนยังกล่าวถึงการยกระดับมาตรการตรวจแบบอาร์ที-พีซีอาร์ กับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ว่าสถานะการฉีดวัคซีนจะเป็นแบบใดด้วย พร้อมทั้งยืนยันว่า สหรัฐจะไม่หวนกลับไปล็อกดาวน์อีก แต่ประชาชนต้องร่วมมือกับมาตรการทางสาธารณสุขอื่นอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด


ปัจจุบัน การฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบตามเงื่อนไขของวัคซีนแต่ละแบบในสหรัฐ ครอบคลุมประชากรเพียง 60% เท่านั้น จัดอยู่ในอันดับรั้งท้ายของกลุ่มประเทศร่ำรวย


ในเวลาเดียวกัน นางเคธี โฮชุล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แถลงเรื่องการพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนอย่างน้อย 5 คนในพื้นที่ เบื้องต้นยังไม่มีการเปิดเผย ว่าเป็นการติดเชื้อในชุมชน หรือเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทำให้ตอนนี้สหรัฐมีสถิติผู้ป่วยจากเชื้อโอไมครอน สะสมอย่างน้อย 8 คน โดยหนึ่งในนั้นอยู่ที่รัฐมินนิโซตา และไม่มีประวัติเดินทางออกนอกสหรัฐในรอบ 2 สัปดาห์ล่าสุด แต่เดินทางมาที่รัฐนิวยอร์ก เมื่อไม่นานมานี้.

เครดิตภาพ : AP, GETTY IMAGES