สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ว่าสถาบันวิจัยแห่งชาติด้านโรคติดต่อ (เอ็นไอซีดี) และศูนย์วิเคราะห์แบบจำลองโรคระบาดแอฟริกาใต้ เผยแพร่แถลงการณ์ร่วมกัน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ โอไมครอน ว่าผลการวิจัยเพิ่มเติมบ่งชี้ว่า “มีหลักฐานทางระบาดวิทยา เกี่ยวกับการที่เชื้อโอไมครอนสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เป็นผลจากการติดเชื้อก่อนหน้านั้น”


ผลการรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน มี.ค. 2563 จนถึงวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา จากกลุ่มตัวอย่าง 2,796,982 คน ซึ่งมีผลตรวจเป็นบวก ปรากฏว่า ผู้ป่วย 35,670 คน มีแนวโน้มเป็นการติดเชื้อซ้ำ บ่งชี้ว่า เชื้อโอไมครอนมีคุณลักษณะเสี่ยงให้เกิดการติดซ้ำ มากกว่าเชื้อเดลตาและเชื้อเบตา ประมาณ 3 เท่า ซึ่งการติดเชื้อเดิมซ้ำเป็นสัญญาณว่า เชื้อโรคตัวนั้นสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ อันเป็นผลจากการติดเชื้อที่เพิ่งผ่านพ้นไป

หญิงชาวแอฟริกาใต้เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ศูนย์ฉีดแห่งหนึ่ง ในเมืองโซเวโต ทางตอนเหนือของประเทศ


แม้ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านกระบวนการพิชญพิจารณ์ หรือการร่วมตรวจสอบผลงานวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญสาขาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เอ็นไอซีดีให้ข้อมูลกับองค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ด้วยว่า จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และทุกฝ่ายในประเทศให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าเกี่ยวข้องกับการอุบัติของเชื้อโอไมครอน

ทั้งนี้ ผู้ป่วยยืนยันประจำวันพฤหัสบดี สูงเป็นสถิติใหม่ 11,535 คน เพิ่มขึ้น 312 คน จึงมีความกังวลว่า เชื้อโอไมครอนจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในแอฟริกาใต้ ภายในอีกไม่นานนี้ แต่ยังคงเชื่อมั่นว่า วัคซีนซึ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ยังมีประสิทธิภาพเพียงพอต้านทานอาการป่วยหนัก ที่อาจเกิดขึ้นจากเชื้อโอไมครอน.

เครดิตภาพ : AP