จากกรณีโลกออนไลน์ต่างพูดถึงอย่างหนัก ภายหลังจากที่ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” พระนักเทศน์ชื่อดัง วัดสร้อยทอง ได้ประกาศเตรียมสึกในวันที่ 4-5 ธ.ค.นี้ แต่ภายหลังกลับปรากฏว่า ได้ทำการลาสิกขาบทในช่วงเช้าวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาร่วมยินดี และเสียดายกันเป็นจำนวนมากนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. “อดีตพระมหาไพรวัลย์” พร้อมพระมหาสมปอง ได้เดินทางมาให้สัมภาณ์กับรายการ “โหนกระแส” ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย” ระบุว่า คิดว่าสึกวันนี้ อย่างน้อยก็รอดจากสื่ออื่นๆ มารายการนี้ก่อน ที่สึกคือหลายเงื่อนไขมาก แต่ที่แคร์ที่สุด คือแม่ผมเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งวันนี้ ถ้าแม่ผ่าตัดเสร็จก็จะได้ดูแล ให้แม่ได้เห็น ได้ชื่นใจ เพราะเราเป็นลูกคนเดียว

เรื่องการอึดอัดเรื่องรักษาการเจ้าอาวาสก็เป็นแค่ส่วนหนึ่ง เป็นประเด็นรอง เราก็เคยคิดสึกหลายครั้งแล้ว แต่เมื่อตอนนี้มีเรื่องของแม่เข้ามา เวลาที่เราจะได้อยู่กับท่านก็เหลือน้อยแล้ว ใครก็รู้ว่าเป็นมะเร็งมันยากที่จะรักษาให้หายขาด พ่อก็แก่แล้วก็อยากใช้เวลากับท่าน ถ้าครอบครัวมีลูกมากกว่าหนึ่งคนก็อาจจะไม่สึก แต่เราก็อยากไปดูแลท่าน ที่โพสต์ว่า “เริ่ม” หลังสึกคือไม่ได้ไปเริ่มรบไปฉะกับใคร แต่เป็นการเริ่มชีวิตฆราวาส แต่เดี๋ยวเจอกันแน่นอนถ้ามีอะไรที่เราพอจะเป็นปากเป็นเสียงแทนคณะสงฆ์ได้ หลวงพี่ พระหนุ่ม เณรน้อยที่เราพุดได้ ก็จะพูด แล้วพูดตรงด้วย

“ไม่ได้ต้องการจะเปิดศึกกับใคร แต่เมื่อเริ่มใช้ชีวิตฆราวาสแล้ว จะสามารถออกมาเป็นปากเป็นเสียงแทนพระสงฆ์ ในประเด็นที่สามารถพูดได้ อะไรที่ไม่เป็นธรรม จะสามารถพูดได้มากขึ้น เนื่องจากสังคมสงฆ์ทุกวันนี้ คับแคบยิ่งกว่าฆราวาส ยิ่งเป็นพระในสังคมเมือง ต้องเคารพกฎ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ทำให้ไม่สามารถทำอะไรที่เป็นตัวตนของเราได้เต็มที่ ไม่สามารถมีความคิดอ่านเป็นของตัวเองได้ มีจีวรไม่พอยังเอาปลอกคอมาใส่ให้อีก ยังเอามติมาบีบกันอีก ไม่ควรใช้อำนาจมาแทนความเป็นธรรม ที่สึกก็คือคิดว่า คิดถูกแล้ว”

การเมืองในวงการสงฆ์มีไหม? ก็อย่างที่เห็นอยู่ จะเห็นได้จากที่ผมและพระมหาสมปอง Live จะทำอะไรก็มีเรื่องร้องเรียน และเรียกไปสอบ ซึ่งคิดว่า การปกครองควรให้อำนาจหน้าที่เป็นของเจ้าอาวาสมากกว่า แต่ปัจจุบัน วงการสงฆ์ เป็นการใช้อำนาจมากกว่าความเป็นธรรม “ด้วยความเคารพเจ้าคณะผู้ปกครองไม่ได้อยู่ในที่ที่เราเคารพที่เราอยากจะกราบไหว้ คุณธรรมก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี ถ้าผู้ใหญ่ที่มีอยู่ ทำให้เราไม่อยากก้มหัวให้ ถ้าเป็นพระมีคุณธรรมและเป็นผู้ใหญ่ เราก็อยากอยู่ แต่บางเรื่องมันไม่ใช่” ยืนยันว่า ที่สึกออกมาคิดถูกแล้ว เพราะถึงอย่างไร เปรียญธรรม 9 ก็ยังอยู่ ธรรมะก็ยังอยู่ แค่ความเป็นพระหายไปเท่านั้น เรายังรู้ธรรมะคืออะไร

ส่วนความเห็นเกี่ยวกับ สำนักพุทธศาสนาแห่งชาตินั้น มหาไพรวัลย์ ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าจะให้พูดสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติก็ต้องจัด แต่เรื่องคณะสงฆ์ขอไม่พูด เรื่องของผมที่ถูกร้องให้สอบ พบถูกร้องโดยสำนักพุทธฯ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ โดยสำนักพุทธฯ ต้องทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา จึงอยากให้เอาคนในสำนักพุทธฯ มาบวชบ้าง ก็เป็นแค่พวกหัวดำ อยากคุมหัวโล้น”

ที่ใครสงสัยว่าสึกมาก็ทำอะไรไม่ได้นั้น ก็ขอตอบว่าใครจะอยู่ไม่ได้ ชีวิตคือการไปต่อนั่นแหละ ส่วนที่ลือว่ามีทรัพย์สิน 300 ล้านบาท ตอนแรกก็ตั้งใจจะฟ้องแต่สงสาร เพราะเวลาขึ้นศาลก็เป็นนักข่าวตัวเล็กตัวน้อย แต่ช่องไม่ได้รับผลกระทบ แต่ต้องอยู่ในพื้นฐานของข้อเท็จจริง คิดว่าผมเป็นเจ้ามือหวยใต้ดินหรืออย่างไร ถึงมีเงินขนาดนั้น

ถ้าเป็นทรัพย์สินที่เป็นของเราเองก็คงต้องเอากลับ อย่างเช่นหนังสือ หากทิ้งไว้ก็คงอยู่ในตู้แล้วไม่มีใครอ่านเหมือนพระไตรปิฎก ส่วนเรื่องที่คุณศรีสุวรรณพูดนั้น จริงๆแล้วไม่อยากจะพูดถึงเท่าไหร่ เราก็เป็นรุ่นหลานแล้ว ไม่อยากจะถอนหงอกไม่อยากจะว่า ผมก็อยากให้ลุงศรีมอบพรนี้ให้ตัวเองด้วย ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ฟ้องคนอื่นมั่วซั่ว ตัวเองจะโดนฟ้องแน่นอน เลิกจองเวรจองกรรมชาวบ้านได้แล้ว ส่วนที่มีคนรักหรือเกลียดก็เป็นเรื่องธรรมดา ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เรื่องที่บอกว่าไม่ควรพูดนั้น ต้องดูว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดจริง หรือว่าไม่กล้าพูดกันแน่

ที่แพลนคือเพจที่เรามีก็คงไม่สูญเปล่า ก็คงทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้ ก็มีทีมที่เขาดูแลดูว่าอะไรเหมาะสม ซึ่งคิดว่าคนจำนวนไม่น้อยที่ติดตามอยู่ ก็ติดตามเพราะตัวผม ก็คงทำอะไรในโลกออนไลน์ได้ เป็นนักวิชาการหรือทำอะไรที่ชอบ รวมทั้งขณะนี้ เปิดกว้างบนพื้นที่เฟซบุ๊ก ก็มีคนเตรียมที่จะให้รีวิวสินค้า ซึ่งอาจจะพิจารณาทำ ไม่หวั่นว่า จะมีคนเลิกติดตาม เพราะเชื่อมั่นว่า คนที่ติดตาม ติดตามเพราะความที่เป็นตัวของตัวเอง ส่วนจะมีแฟน แต่งงานไหม ก็เป็นฆราวาสแล้วก็ดูตามเหมาะสม ก็อยากทำใสังคมเห็นว่าทุกคนควรเลือกเส้นทางตัวเองได้ ไม่ว่าจะสึกแล้วหรือว่าบวชเป็นพระอยู่ คนเราสวยงามได้ในเส้นทางของตัวเอง

นอกจากนี้ “มหาไพรวัลย์” ยังระบุอีกว่า ยินดีที่จะออกรายการ ถ้าเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ก็ยินดีอย่าแน่นอน ถ้ามีอะไรที่ไม่เป็นธรรม สำนักพุทธต้องจัดแน่ ถ้าพูดรายการนี้ก็คงไม่พอ เราพูดเพื่ออยากให้ช่วยเหลือกิจการพระสงฆ์

ด้านพระมหาสมปอง ได้เผยเพิ่มเติมด้วยว่า จริงๆ น้องบอกว่า 4-5 ธ.ค. แล้วอาตมาบอกว่าหรืออาจจะเร็วกว่านั้น ก็เป็นการตัดสินใจของเขาเอง ที่จริงแล้ว มีพี่ที่อาตมารักและเคารพมาก คือท่าน ส.ศิวรักษ์ ไม่ให้พูดเรื่องสึก ก็ไม่อยากจะพูดเพราะอะไรก็เปลี่ยนแปลงได้ เรื่องการกล้าพูดนั้น เราก็มาจากคนจน ก็ไม่มีพระเณรรูปไหนเขากล้าพูดเพื่อพี่น้องคนจน ก็มีน้องแหละที่ทำ คือแต่ก่อนเราก็กลัว กลัวคนด่า ไล่ไปสึก แต่ตอนนี้เลยจุดนั้นมาแล้ว ไม่อยากจะมีปลอกคอ ถ้าคนมองว่าเราอยู่ตรงนี้แล้วมีประโยชน์ก็คงอยู่ แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วก็คงไปเดินเส้นทางอื่น มีจุดพอเหมาะพอสมอยู่ ฉะนั้นแล้วถ้าถึงจุดที่อาตมาหมดประโยชน์ต่อสังคมแล้วก็คงต้องไป ซึ่งงานพิธีกรก็เป็นงานที่น่าสนใจ..