“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานสถานการณ์เงินบาท ระบุว่า เงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยเงินบาทอ่อนค่าลงตามสถานะขายสุทธิพันธบัตรและหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 หลังสายพันธุ์กลายพันธุ์โอไมครอนเริ่มระบาดในหลายประเทศ

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยตลอดทั้งสัปดาห์รวมมากถึง 11,429 ล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรไทย 2,227 ล้านบาท แบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 21,527 ล้านบาท แะซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 19,300 ล้านบาท ขณะที่มีตราสารหนี้ที่หมดอายุ 560 ล้านบาท

ขณะที่เงินดอลลาร์ มีปัจจัยบวกจากข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนและดัชนี ISM ภาคการผลิตของสหรัฐ ที่ดีกว่าคาด ซึ่งหนุนความเป็นไปได้ที่เฟดจะเร่งลดวงเงิน QE และอาจตามมาด้วยการส่งสัญญาณคุมเข้มมากขึ้น หลังประธานเฟดเปิดเผยว่า เงินเฟ้อสหรัฐ มีความเสี่ยงที่จะทรงตัวสูงเป็นเวลานานกว่าที่เคยประเมินไว้

ทั้งนี้ในวันศุกร์ (3 ธ.ค.) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 33.87 บาทต่อดอลลาร์ หลังระหว่างวันอ่อนค่าไปที่ 33.99 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ทำไว้เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา และเป็นสถิติอ่อนค่าสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2560 เทียบกับระดับ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (26 พ.ย.)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (6-10 ธ.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.50-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือน ต.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน พ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. (เบื้องต้น) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามจีดีพีไตรมาส 3 ของยูโรโซนและญี่ปุ่น รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือน พ.ย. ของจีน อาทิ ตัวเลขการส่งออก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตด้วยเช่นกัน