“ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เดินหน้าลุยต่อ ในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์อาเซียน “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020” ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยหลังจากฉลุยเข้าสู่รอบตัดเชือกแล้ว มาโน โพลกิง กุนซือใหญ่ วางเป้าหมายว่า ต้องเป็นแชมป์กลุ่มให้ได้

3 นัดแรกของทีมชาติไทย ชนะรวด อัด ติมอร์เลสเต 2-0, ชนะ เมียนมา 4-0 และ ล่าสุดเมื่อ 14 ธ.ค.64 เฉือน ฟิลิปปินส์ 2-1 “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ยิง 2 ลูก ทำให้สกอร์รวมในศึกชิงแชมป์อาเซียน ซัดแล้ว 19 ลูก นำดาวยิงสูงสุดตลอดกาล แซง นอห์ลัมชาห์ ของสิงคโปร์ที่ยิง 17 ลูก ทั้งนี้ ไทย นำอันดับ 1 มี 9 แต้มเต็ม เช่นเดียวกับ สิงคโปร์ ควงแขนเข้ารอบรองชนะเลิศแน่นอนแล้ว นัดสุดท้าย วันที่ 18 ธ.ค.64 ช้างศึก จะพบ สิงคโปร์ ที่สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ ไทยขอแค่เสมอ จะได้ที่ 1 เพราะผลต่างประตูได้เสียดีกว่า (กรณีคะแนนเท่ากันดูเฮดทูเฮดก่อน แต่มาเจอกันพอดี)

ความเคลื่อนไหว เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ช่วงเช้า มาโน นำนักเตะที่เป็นตัวสำรอง เกมกับ ฟิลิปปินส์ ไปซ้อมที่ ยี่ซุ่น สเตเดี้ยม ส่วนชุดที่ลงสนาม จะให้ลงสระน้ำ คลายกล้ามเนื้อ ที่โรงแรมในช่วงบ่าย

มาโน กล่าวว่า ในการซ้อมเช้า พยายามรักษาระดับการซ้อมผู้เล่นที่ไม่ได้เล่นมาชดเชย อย่างน้อยเรียกความฟิต เพื่อซ้อมระดับเดียวกัน ส่วนกลุ่มที่ลงในเกมกับ ฟิลิปปินส์ ให้พักฟื้นลงสระ วันต่อไปก็จะพักก่อน ต้องหมุนเวียนผู้เล่น ให้ฟื้นสภาพให้พอเพียง และให้ผู้ที่ไม่ได้ลงสนาม เรียกความฟิตด้วย

กุนซือช้างศึก กล่าวถึงเกมกับสิงคโปร์ ที่แม้จะควงแขนเข้ารอบแล้ว แต่ถือว่าเป็นนัดสำคัญ เพื่อตัดสินอันดับ 1-2 ไทยต้องเก็บชัยให้ได้ เพื่อรักษาความมั่นใจ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศด้วยชัยชนะ แม้ไม่มีกฎอเวย์โกลในรอบต่อไปแล้วก็ตาม ซึ่งจากที่ได้ดู สิงคโปร์ เป็นทีมที่ดี ทำได้ดีที่ชนะเมียนมา แล้วมาเจอเกมยากกับ ฟิลิปปินส์ ล่าสุดเล่นไม่ดี แต่ชนะ ติมอร์ฯ สิงคโปร์จะได้เปรียบแฟนบอลหมื่นคน เพื่อผลักดัน ดังนั้นประมาทไม่ได้.