เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปี 2564 ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ สลดหดหู่ และช็อกคนไทยทั้งประเทศ สรุปสุดยอดข่าวเด่น ข่าวฮอต ให้ได้ติดตาม

‘โจ้ถุงดำ’ มุมมืดเซฟเฮาส์สีกากี

คดีสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศ ลุกลามไปสะเทือนวงการสีกากี มีจุดเริ่มต้นเปิดเผยสู่สาธารณะชน เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2564 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา โพสต์ข้อความว่า ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ จับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 2 คน เป็นชายและหญิง มีการเรียกเงินจนผู้ต้องหายอมจ่าย 1 ล้านแต่ ตำรวจยศ พ.ต.อ.จะเอา 2 ล้าน จากนั้นนำถุงดำมาคลุมหัวผู้ต้องหาชายคือ นายจิระพงษ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ จนขาดอากาศตาย แต่บอกกับหมดว่าเสพยาเกินขนาด เรื่องอื้อฉาวขึ้นเรื่อยๆ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หรือ “ผกก.โจ้” ออกมาปฏิเสธพร้อมนำพ่อผู้ต้องหามายืนยันว่า ลูกชายเสียชีวิตเพราะมีโรคประจำตัว
เรื่องทำท่าเหมือนจะจบแต่จู่ๆ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์คลิปสุดสะเทือนใจเป็นเหตุการณ์ 7 ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ นำโดย ผกก.โจ้ ใช้ถุงดำคลุมหัว นายมาวิน จนตายคามือ ใน สภ.เมืองนครสวรรค์ ในที่สุด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ ผกก.โจ้ ออกจากราชการ จับกุมตำรวจในคลิป ทั้งหมดดำเนินคดี แต่ ผกก.โจ้ ซึ่งได้ฉายาว่า “โจ้ถุงดำ”หลบหนีไปได้สักพักก็ยอมเข้ามอบตัว อ้างไม่ได้รีดเงินแต่ทำเพื่อขยายผลหาเบาะแสยาเสพติด ทั้งหมดถูกนำคุมขังเรือนจำ ห้ามประกันตัว เมื่อขยายผลพบว่า ผกก.โจ้นั้นร่ำรวยหลายร้อยล้านจากการชี้เบาะแสจับรถหรูเถื่อน

ล่าสุดวันที่ 19 พ.ย.64 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดสอบคำให้การจำเลย โจ้ถุงดำ ให้การต่อศาลยอมรับว่าทำร้ายร่างกายแต่ทำเพื่อขยายผลคดียาเสพติดและทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งต้องติดตามความคืบหน้าของคดีกันต่อไป

ช็อกอดีตเจ้าสำนักกิโยติน-ถวายหัวพุทธบูชา

เรื่องราวสุดสยดสยองและสลดหดหู่ใจหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยมากจนได้รับการจัดอันดับหนึ่งในข่าวเด่นแห่งปี กรณีอดีตพระภิกษุสงฆ์ ก่อเหตุอัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 เม.ย.2564 นายธรรมกร วังปรีชา อายุ 68 ปี หรืออดีตพระธรรมกร ฐานธัมโม อดีตเจ้าสำนักสงฆ์ภูหินกอง สำนักสงฆ์ภูหินกอง หรือภูคำไก่ บ้านนาแค หมู่ 4 ต.ลำภู อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู กลายเป็นผีหัวขาด หลังใช้กิโยตินตัดคอตัวเองและลูกศิษย์กว่า 300 คน ร่วมใจนุ่งขาวห่มขาว ช่วยกันนำร่างบรรจุหีบศพไปบำเพ็ญกุศล อ้างเป็นการถวายหัวเป็นพุทธบูชา และภายในสำนักสงฆ์มีรูปปั้นพิสดารบุรุษศีรษะขาด มือสองประคองศีรษะยื่นไป และศิษย์ไม่ติดใจเอาความใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเป็นความประสงค์ของผู้ตาย ทิ้งจดหมายลาตายวันที่ 9 เม.ย. 2564 ระบุข้อความเมื่อ 5 ปีก่อนได้ให้คำมั่นจะตัดศีรษะสักการบูชาพระพุทธเจ้าเพื่อตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล ก่อนลาสิกขาวันที่ 14 เม.ย. กระทั่งก่อเหตุสลดในที่สุด

ขณะที่ นางศิวพร ฉั่วสวัสดิ์ ผวจ.หนองบัวลำภู ได้ยืนยันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นสำนักสงฆ์ เป็นแค่ที่พักสงฆ์ และอยู่ในเขตทหาร ปัจจุบันมีพระพำนักอยู่ 1-2 รูป แม่ชี 5-6 คน และศิษย์ฆราวาส 2-3 คน ซึ่งอยู่ในอำนาจคณะสงฆ์จะพิจารณาให้ใครมาดูแล แต่รูปปั้นคนถวายหัวต้องทำลายทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดการเลียนแบบส่วนด้านคดีเจ้าหน้าที่จัดการตามขั้นตอน เนื่องจากตายผิดธรรมชาติอาจจะต้องเอาผิดกับบุคคลที่ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพและผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมาย

โควิด-19 ไวรัสถล่มโลก

ทั่วโลกช็อกกับโรคอุบัติใหม่ หรือไวรัสโคโรนาที่เริ่มระบาดครั้งแรกในเดือน ธ.ค.2562 โดยพบที่เมืองอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน จากนั้นเรียกกันติดปากว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” ก่อนจะเปลี่ยนเป็น “โควิด-19” จากนั้นไวรัสได้กลายพันธุ์ลามไปหลายประเทศ เป็นสายพันธุ์อังกฤษหรือที่เรียกกันว่า “อัลฟา” สายพันธุ์แอฟริกาใต้ “เบต้า” สายพันธุ์ “เดลตา” (อินเดีย) กระทั่งไทยเจอผู้ป่วยรายแรก เป็นโชเฟอร์รถแท็กซี่เมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค.63 แต่เรายังไม่พบผู้ป่วยมาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สธ. ถึงกับตีปีกได้ใจเลยพูดเต็มปากว่า “โควิดกระจอก” ก่อนจะพบผู้ป่วยมากขึ้นเมื่อกลางเดือน มี.ค.63 โดยต้นตอมาจากการแข่งขันชกมวยไทย ที่สนามมวยเวทีลุมพินี

สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทนไม่ไหวต้องประกาศเคอร์ฟิวต้นเดือน เม.ย.63 ห้ามจำหน่ายสุราชั่วคราว และสั่งปิดโรงเรียนทันที พร้อมทั้งงดจัดงานสงกรานต์ ต่อมามีการระบาดอีกระลอกในตลาด จ.สมุทรสาคร สาเหตุมาจากลักลอบขนแรงงานต่างด้าว ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งหลักพัน-หมื่นคนต่อวัน แต่แล้วสถานการณ์ยิ่งลุกลามขึ้นไปอีก เมื่อเกิดคลัสเตอร์บ่อนพนันใน จ.ระยอง จันทบุรี และชลบุรี ก่อนจะลามไปสถานบันเทิงย่านทองหล่อ ขณะที่ทั่วโลกต่างเร่งคิดค้นวัคซีนออกมาสู้กับไวรัสร้าย ไม่ว่าจะเป็นซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แอสตราเซเนกา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา โรคระบาดครั้งนี้ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจ ทั่วทุกมุมโลกได้รับผลกระทบอย่างหนัก พอมนุษย์เราคิดค้นวัคซีนออกมาได้สำเร็จ เจ้าไวรัสมฤตยูแปลงร่างเป็นไวรัส “โอไมครอน” หรือ “โอมิครอน” สายพันธุ์ตัวใหม่ที่แพร่เร็ว-ติดง่าย แต่อาการไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์เดลตา ที่ขณะนี้ลุกลามไปหลายประเทศทั่วโลกต้องทนอยู่กับไวรัสมหันตภัยมานานกว่า 2 ปี ชินจนกลายเป็น “โรคประจำถิ่น” หรือคล้ายไข้หวัดใหญ่ไปเสียแล้ว โดยเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 5.3 ล้านศพ ติดเชื้อไม่ต่ำกว่า 280 ล้านราย ภายในปี 65 เรามาจับตาดูว่าจะรับมือหรือสู้กับ “ไวรัสถล่มโลก” ได้หรือไม่

โกงออนไลน์มหันตภัยใกล้ตัว

เรื่องการโกงออนไลน์ที่ขยายใหญ่เป็นเรื่องระดับประเทศนั่นคือ จากกรณี น้องก้อง เด็กนักเรียนชั้น ม.2 อายุ 14 ปี ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ถูกแม่ค้าออนไลน์ หลอกขายโทรศัพท์มือไอโฟน 7 ขนาด 32 กิกะไบต์ มือสอง ราคา 5000 บาท ผ่านทางอินสตาแกรม Phonebymint ที่มีผู้ติดตามมากถึง 60,000 คน ภายหลังโอนเงินไป กลับไม่ได้ของ และโดนบล็อกช่องทางการติดต่อ สุดท้ายน้องก้อง เกิดความเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2564


เมื่อตกเป็นข่าวเรื่องก็ขยายต่อไปเรื่อยๆเพราะคนทั่วประเทศสงสารน้องก้อง ที่มีฐานะยากจนอุตสาห์เก็บออมเงินกว่าจะได้ต้องมาถูกโกง ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.นาหวาย ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นคำร้องขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย ต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งศาลได้พิจารณาออกหมาย น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปีและ น.ส.บี (นามสมมุติ) ที่เป็นมือรับจ้างเปิดบัญชี เท่านั้น
พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท.หรือหน่วย ตำรวจไซเบอร์ สืบสาวไปถึงตัวการคือ น.ส.พิยดา ทองคำพันธ์ อายุ 19 ปี ลุยค้นบ้านแฟนหนุ่มย่านราชพฤกษ์ อ.เมืองนนทบุรี พบรถยนต์ BMW หรูจำนวน 2 คันและทรัพย์สินจำนวนมากจึงยึดไว้ตรวจสอบ โดย น.ส.พิยดา มีพฤติกรรมชอบใช้ของแบรนด์เนม ใช้ชีวิตหรูหรา ซึ่งเงินส่วนใหญ่ที่ได้มาก็มาจากการฉ้อโกง มีเงินหมุนเวียน 35 ล้าน ใช้วิธีจ้างเปิดบัญชีธนาคาร โดยให้ค่าจ้างหัวละ 8,000 บาท ทำแบบนี้มาเกิน 5 ปี มีผู้เสียหายกว่า 500 คน ใช้ชีวิตหรูหรา ซึ่งเงินส่วนใหญ่ที่ได้มาก็มาจากการฉ้อโกงผู้อื่น​

ต่อมา น.ส.พิยดา ถูกจับกุมมีการซัดทอดกันไป-มา ระหว่าง ฝั่ง พิยดา กับครอบครัว ของแฟนหนุ่ม ที่แม้จะคบหากันมานาน 7 ปี แต่ให้การอ้างว่าไม่รู้เรื่องกับพฤติกรรมของแฟนสาว สำหรับ พิยดา สุดท้ายต้องจบชีวิตหรูหราไปอยู่ในเรือนจำ ส่วนทรัพย์สินหลายสิบล้านนั้นถูกยึดไว้ตรวจสอบทั้งหมด

ไม่ทนอยุติธรรม “มหาไพรวัลย์” ลาสิกขา-มหาสมปองต่อคิว


อีกเรื่องหนึ่งที่ติดอันดับท็อปฮิตแห่งปี อดีตพระมหาไพรวัลย์ วรวัณฺโณ อดีตพระลูกวัดสร้อยทอง กทม. หรือ นายไพรวัลย์ วรรณบุตร นักเทศน์ชื่อดังแห่งยุคและผู้จุดประกายธรรมะขำขันไลฟ์สดในโลกโซเซียล มีผู้ติดตามมากกว่า 2.6 ล้านคน โดยนักเทศน์คนดังตัดสินใจลาสิกขากลายเป็นฆาราวาสหรือ “ทิด” หรือ “มหา” ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2564 ที่วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ต่อพระมหานภันต์ สันติภัทโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ภายหลังถูกสังคมจับตาและคณะกรรมมาธิการ (กมธ.) การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เชิญไปซักถามถึงความเหมาะสมและความสำรวมในการสอนธรรมะญาติโยม โดยเฉพาะประเด็นไลฟ์สดคู่หูคู่ฮากับ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนสุดท้ายมหาไพรวัลย์ทนไม่ไหวตัดสินใจสละร่มกาสาวพัสตร์ ให้เหตุผลต้องการไปดูแลมารดาที่ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย โดยทิ้งระเบิดลูกใหญ่วาทะร้อน “หัวดำคุมหัวโล้น” และเบื่อหน่ายความอยุติธรรม ยืนยันจากนี้ไปจะรีวิวสินค้าเลี้ยงชีพโดยสุจริต ล่าสุดพระมหาสมปอง เพื่อนเลิฟก็เตรียมลาสิกขาตามไปเช่นกัน ตั้งเป้าจะร่วมทีมโฆษกพรรคเพื่อไทย


ย้อนกลับไปหลายสิบปีที่แล้ว มหาไพรวัลย์ เคยให้สัมภาษณ์เล่าประวัติชีวิตว่าเกิดในครอบครัวยากจนที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทุบรี เรียบจบ ป.6 ก็บวชเณรเล่าเรียนเพราะความยากลำบากจนได้มหาเปรียญ โดยไปอยู่ จ.สุโขทัย เรียนนักธรรมบาลีจนเชี่ยวชาญ ย้ายมาเรียนที่วัดสร้อยทอง กทม. จบจบเปรียญธรรม 9 ประโยค (ปธ.9) และเรียนปริญญาโทสาขาพุทธศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสันติศึกษาที่ มจร. หากนับจากบวชเป็นสามเณรมาจนถึงปี 2564 รวมเป็นเวลา 18 ปีคือชีวิตในผ้าเหลือง

นิยามคำศัพท์ใหม่และยอดฮิตที่มหาไพรวัลย์ฝากไว้ในความทรงจำ หรือภาษาคนรุ่นใหม่เรียก “ต๊าซ” อาทิ พส. (พี่สาว เพื่อนสาว กรณีนี้หมายถึงพระสงฆ์) เดรสส้ม (จีวรพระ) สภาพ (เป็นไปอย่างที่เห็น) ตุย, สู่ขิต (ตาย เสียชีวิต สู่สุคติ)ไหว้สา (กราบไหว้ เรียนเชิญ ทำความเคารพ กรณีนี้ หมายถึง นมัสการ) ปัง, จึ้ง (ดีงาม เลิศ) ต๊าซ (ดีงามที่สุด เลิศที่สุด) แกง, แกงหม้อใหญ่ (แกล้ง หลอกให้เชื่อ) จะเทย (กะเทย หรือกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และชาวจ๊อก (ลูกเพจหรือสมาชิกกลุ่ม จ๊อกจ๊อก).

ยุติธรรมมีจริง!!‘เสือดำไม่ตายฟรี…


ข่าวที่สะเทือนความรู้สึกของคนรักสัตว์คงหนีไม่พ้นคดีล่าเสือดำ โดยผู้ก่อเหตุคือนายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 67 ปี บอสใหญ่ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กับลูกน้องและถูกนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก จ.กาญจนบุรี บุกจับเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561 จนสังคมฮือทวงความยุติธรรม “เสือดำต้องไม่ตายฟรี” คดีนี้ต่อสู้ในชั้นศาลยาวนานถึง 3 ปี 10 เดือน


โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.64 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.นัดอ่านคำตัดสินศาลฎีกา โดยระบุว่า ฎีกาของจำเลยทั้ง 3 คน ฟังไม่ขึ้นและไม่มีเหตุต่อการรอการลงโทษ จึงพิพากษาให้ลงโทษจำคุกนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน ส่วนนายยงค์ โดดเครือ อายุ 69 ปี คนขับรถ จำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี 9 เดือน ขณะที่นายธานี ทุมมาศ อายุ 60 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็นพรานป่า จำเลยที่ 4 คงจำคุก 2 ปี 13 เดือน และให้จำเลยทั้งหมดชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ สำหรับนางนที เรียมแสน อายุ 44 ปี แม่ครัว จำเลยที่ 3 ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี…ถือเป็นการตอบคำถามสังคม “คุกไม่ได้มีไว้แค่ขังคนจนเท่านั้น”…!!

ย้อนกลับไปคดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็นโจทก์ฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูตร อายุ 67 ปี อดีตประธาน กรรมการ บมจ. อิตาเลียนไทย ดิเวล๊อปเมนต์ นายยงค์ โดดเครือ อายุ 69 ปี คนขับรถ นางนที เรียมแสน อายุ 44 ปี แม่ครัว นายธานี ทุมมาศ อายุ 60 ปี พรานป่า เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐาน “ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสีย หรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย และร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีทั้งหมดร่วมกันเข้าไปในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เขตตะวันตก จ.กาญจนบุรี ฆ่าเสือดำ และไก่ฟ้าหลังเทา ซึ่งเป็นสัตว์ป่าสงวน เพื่อใช้ปรุงเป็นอาหาร หลังถูกนายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก (ตำแหน่งขณะนั้น) นำกำลังเข้าจับกุมได้พร้อมของกลาง เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2561

โดยในศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาวันที่ 30 เม.ย.2561 ศาลจังหวัดทองผาภูมิพิพากษาจำคุกนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 รวม 16 เดือน โดยไม่รอลงอาญา จำคุกนายยงค์ จำเลยที่ 2 รวม 13 เดือน ไม่รอลงอาญา จำคุก นางนที จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี และจำคุกนายธานี จำเลยที่ 4 รวมเวลา 2 ปี 17 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2562 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 สั่งแก้ให้เพิ่มโทษจำคุกนายเปรมชัย รวม 2 ปี 14 เดือน นายยงค์ จำคุก 2 ปี 17 เดือน นางนที จำคุก 1 ปี 8 เดือน ปรับ 40,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วน นายธานี จำคุกรวม 2 ปี 21 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ทั้งยังให้จำเลยทั้ง 4 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี.

มหากาพย์การหายตัวของน้องชมพู่

มหากาพย์เรื่องยาวจากการหายตัวไปของน้องชมพู่หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา แล้วต่อมาไปพบกลายเป็นบนเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ต่อมาตำรวจส่งทีมงานสืบสวนฝีมือดีจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ลงพื้นที่แกะรอยสืบสาวราวเรื่องการคลี่คลายคดีออกมาแถลงข่าวใหญ่โต จนกลายเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป


จนกระทั่งต่อมาจากการรวบรวมพยานหลักฐานได้มีการเสนอศาลขออนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ใน 4 ข้อหาด้วยกันบวกกับข้อปลูกสร้างรูปปั้นพญานาค บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ เรียกว่าสร้างความฮือฮาตาแตกไปตามๆ กัน จากคดีเดียวบานปลายไปเกี่ยวข้องอีกหลายคดี

ขณะที่ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ภรรยา โดนไป 2 ข้อหา และจนขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรม และคดีไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ และยังไม่ทราบได้ว่าจะผลการตัดสินจะออกมาทางทิศทางใด ๆ แต่ที่แน่เกิดความขัดแย้งถึงขั้นมีทนายถอนตัวว่าไม่ว่าความให้ไปแล้ว

จึงต้องมาติดตามกันห้ามกระพริบตากันเป็นอันขาดว่าท้ายที่สุดแล้ว บทสรุปของคดีจะลงเอยอย่างไร…?.

โศกนาฏกรรมเพลิงนรกเผาโรงงานหมิงตี้

โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในปี 2564 จากเหตุการณ์ระเบิดและเพลิงลุกไฟสารเคมีรั่วไหล บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จัดกัด โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก เลขที่ 87 ในซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สร้างความเสียหายมากมายมหาศาลเป็นวงกว้าง มีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบในรัศมีหลายกิโลเมตรทและได้รับความเสียหายกว่า 2 พันครัวเรือน


ขณะเดียวกันเกิดเหตุสลดใจ มีนักผจญเพลิงวัย 19 ปี เข้าไปฉีดสกัดเพลิงที่กำลังโหมลุกไหม้ใกล้ถังบรรจุสารเคมีไวไฟ ขนาด 1,600 ตัน และมีท่อส่งสารเคมีสไตริน โมโนเมอร์ ฝังอยู่ใต้ดินได้เกิดรั้วไหลมาผสมกันน้ำและถ่านหิน ทำให้เกิดเปลวไฟลุกไหม้เผาร่างนักผจญคนกล้าเสียชีวิต

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากหลายหน่วยงานปักหลักช่วยระดมฉีดน้ำสกัดเพลิงใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ จึงจะสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ในวงจำกัด กระทั่งต่อมาได้มีการขนย้ายสารเคมีออกไปทำลายทิ้งเพื่อความปลอดภัย โดยมีมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นตามที่มีการคาดการณ์หรือประเมินกันไว้กว่า 1 พันล้านบาท

จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ส่วนมูลค่าความเสียหายต่างๆของผู้ได้รับผลกระทบ ได้มีการทยอยจ่ายชดใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน.