มาโน โพลกิง เฮดโค้ชผู้พา “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย คว้าแชมป์อาเซียนสมัยที่ 6 หวังว่าเขาจะได้คุมทีมชาติไทยในระยะยาว เพื่อยกระดับสู่การต่อสู้ในเวทีเอเชีย

กุนซือบราซิเลียน พาทีมไทย คว้าแชมป์ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2020” ด้วยผลงานไร้พ่าย ซึ่งสัญญาของเขา ที่เซ็นไว้กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นสัญญาระยะสั้น ในช่วงรายการนี้เท่านั้น ล่าสุด เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ช่องทีสปอร์ตส์ ในเรื่องนี้ว่า การเป็นโค้ชทีมชาติไทย คืองานในฝันของตน ถ้าได้รับโอกาสคุมทีมระยะยาวขึ้น จะเป็นเกียรติมาก ตนหวังว่าจะได้รับเกียรตินั้น เป้าหมายคือพาทีมไทยไประดับสูงกว่านี้อยู่แล้ว มองถึงระดับเอเชีย ว่าสามารถต่อสู้ทีมชั้นนำเอเชียได้ หวังว่าไทยลีกแข็งแกร่งขึ้น ผลิตผู้เล่นให้ทีมสู่ระดับเอเชียได้

“สาเหตุความสำเร็จครั้งนี้ ผมขอยกเครดิตให้ผู้เล่นคุณภาพชั้นเยี่ยม ผมเป็นโค้ชในไทย 8 ปี จึงรู้ศักยภาพ การเลือกใช้นักเตะในเวลาที่ถูกต้อง เลือกให้เข้าเกมรุกตามที่ถนัด” มาโน กล่าว

มาโน กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่ตนรู้ตัวว่าจะคุมทีมชาติไทย ก็คิดถึงการเลือกนักเตะทันที พร้อมส่งข้อความเชิญ ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ ธีราทร บุญมาทัน มาช่วยทีม เมื่อถามถึงการเจอคู่ปรับอย่าง เวียดนาม ในรอบรองชนะเลิศ มาโน กล่าวว่า เวียดนาม และ ไทย มาในฐานะทีมเต็ง เวียดนามเป็นแชมป์เก่าด้วย แน่นอนอุณหภูมิก่อนเกมจึงเดือด แต่ไทยก็กำลังมีทีมสปิริต หลังจากให้โอกาสนักเตะในเกมชนะ สิงคโปร์ ส่วนเวียดนามโชคไม่ดี ที่เสมอ อินโดนีเซีย ทำให้จบอันดับ 2 ของกลุ่ม ต้องมาเจอกับไทย แต่ก็ถือว่าเวียดนามเป็นทีมแข็งแกร่งในทัวร์นาเมนต์นี้

เมื่อถามถึงจังหวะที่เขาโดนใบเหลือง หลังจากไปตะคอกใส่ เกง็อกไฮ กัปตันทีมเวียดนาม ที่เตะบอลอัด สุภโชค สารชาติ มาโน กล่าวว่า เป็นการเล่นนอกเกม ถ้ามีวีเออาร์ เวียดนามต้องโดนใบแดง อย่างน้อยต้องใบเหลือง แต่ตนเองก็สมควรโดนใบเหลืองจริงๆ หลังไปบอก ง็อกไฮ ทำนองว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูก จริงๆ ตนรู้จัก เกง็อกไฮ ดี เพราะเคยคุมทีมในเวียดนาม

ส่วนในรอบชิงฯ ชนะเลิศ กับอินโดนีเซีย นั้น ไทยได้เปรียบที่ผู้เล่นสดกว่า ได้สลับนักเตะตั้งแต่เลกแรก ที่ชนะ 4-0 ก่อนเลก 2 ก็กำชับว่า อย่าเสียเร็ว ซึ่งก็เสียเร็วจนได้ แต่ต้องชมทุกคนที่ควบคุมเกมไว้ได้