เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่กรมยุทธโยธาทหารบก เขตจตุจักร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัคร ส.ส.เขตจตุจักร-หลักสี่ พรรคก้าวไกล ท่ามกลางทหารและครอบครัวที่มาร่วมฟังเป็นจำนวนมาก

นายพิธา กล่าวว่า การที่มีโอกาสได้มาพูดคุยกับกองทัพแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี ในการที่ฝ่ายนิติบัญติได้มาทำความรู้จักกับทหาร เพราะหลายท่านอาจไม่รู้จักตน แต่ก็คงเคยได้ยินเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลมาบ้าง แต่ทว่าก็คงไม่ใช่จากปากของพวกเราอย่างวันนี้ ซึ่งตนคิดว่า เรื่องของกำลังพล งบประมาณ ขอบเขตหน้าที่ของทหาร ตลอดจนสวัสดิภาพสวัสดิการของครอบครัวทหารชั้นผู้น้อย หรือเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เพื่อให้ทหารชั้นผู้น้อยอยู่ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี เราเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้คุยกันได้ เรายืนยันว่าพรรคก้าวไกลเล็งเห็นถึงความสำคัญของภารกิจทหาร การที่ท่านอาจเคยได้ยินว่ากองทัพกับพรรคก้าวไกลนั้นคุยกันไม่ได้นั่นไม่ใช่เลย พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ให้เป็นมืออาชีพ การใช้งบประมาณของทหารไม่ไปเบียดเบียนภาษีประชาชน นี่คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นตั้งใจจะทำ และเป็นสิ่งที่คุยกันได้ แต่ทว่าสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ คุยกันไม่ได้เลย นั่นก็คือเมื่อทหารกับประชาธิปไตยไม่อยู่คู่กัน เมื่อทหารเหยียบทับระบอบประชาธิปไตย เช่นในการรัฐประหารซึ่งเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยเกิดขึ้นทุกๆ 6 ปี

“ผมว่าทหารช้ันผู้น้อยเองก็รับไม่ได้เช่นเดียวกับเรา ทหารชั้นผู้น้อยเองก็รับไม่ได้เช่นกันกับการรัฐประหารทุกๆ 6 ปี นั่นเพราะมันทำให้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ ตลอดจนโรคระบาด ฝ่ายการเมืองไม่อาจทำงานได้ตอบโจทย์เรื่องพวกนี้ได้ ถ้าประชาธิปไตยถอยหลังจากการทำรัฐประหารอยู่เรื่อยๆ ประเทศเราจะพัฒนาไปอย่างยากลำบากมากๆ และสำหรับพรรคก้าวไกล สิ่งที่เราจะทำก็คือการสร้างรัฐสวัสดิการให้กับทหารชั้นผู้น้อย ให้ครอบครัว ให้ลูกเมียมีสวัสดิการที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยงบประมาณจำนวนนี้ก็มาจากการรีดไขมันอย่างการลดกำลังนายพลที่มีมากเกินไป เราจะทำให้กองทัพเป็นกองทัพที่ทันสมัย ความมั่นคงของชาติที่เราภาคภูมิใจต้องไปพร้อมกับความมั่นคงในชีวิตครอบครัวทหารชั้นผู้น้อย นี่คือสิ่งที่เราอยากเห็น” นายพิธา กล่าว

นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กล่าวว่า ก่อนที่ตนจะเดินทางมาปราศรัยในวันนี้ คิดอยู่นานว่าจะพูดอย่างไรให้มัดใจทหารทุกท่าน ตนเลยตัดสินใจได้ว่าจะต้องพูดความจริง มีงานวิจัยออกมาว่า ไม่มีประเทศใดในโลกเจริญได้จากการทำรัฐประหาร และไม่มีประเทศใดที่จะเจริญก้าวหน้าได้จากการขนนายพลในกองทัพมาบริหารประเทศ หากนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ตกต่ำของระดับสิทธิมนุษยชนของคนไทยทั้งประเทศ เวลา 8 ปีของ​ พล.อ.ประยุทธ์​ นั้นมากเกินพอแล้ว ทั้งนี้นายกรุณพล ไม่ใช่คนหน้าใหม่ เพราะช่วยงานตั้งแต่ยังเป็นพรรคอนาคตใหม่ เมื่อตอนพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและเกิดเป็นพรรคก้าวไกล นายกรุณพล ก็เป็นคนแรกๆ ที่มาสมัครสมาชิกพรรค

“เราส่งอัญมณีที่มีค่ามาให้กับพี่น้องชาว จตุจักร-หลักสี่ คุณเพชร กรุณพล ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคนที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย สำหรับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้สำคัญมา อยากให้พี่น้องประชาชนในเขตจตุจักร-หลักสี่ ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้เท่ากับการเลือกตั้งใหญ่ เพราะผลของการเลือกตั้งจะเป็นการบอกกับรัฐบาลประยุทธ์ว่า ประชาชนไม่เอาคุณประยุทธ์แล้ว ตนอยากให้พี่น้องประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้ง ออกไปส่งเสียงนี้ผ่านการเลือกตั้ง นี่คือการส่งเสียงที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องลงถนนให้เสียเลือดเนื้อ และคุณประยุทธ์จะไม่มีทางปฏิเสธความจริงเหล่านี้ได้เลย” นางอมรัตน์กล่าว

ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลอยากเห็นกองทัพที่ทันสมัย ที่เราทำมาแล้วคือเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิกบังคับการเกณฑ์ทหาร แม้จะไม่สำเร็จ เพราะนายกรัฐมนตรีที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่อนุมัติ แต่ในอนาคตถ้าเรามีอำนาจมากพอ ได้เป็นรัฐบาล สิ่งที่เราจะทำทันทีคือการเสนอร่างนี้อีกครั้ง เราต้องยุติการบังคับเกณฑ์ทหารแล้วเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ เราเสนอว่าตั้งแต่ 18-40 ปี ไม่ว่าชายหรือหญิงสมัครมาได้ เงินเดือนสวัสดิการจะดีกว่าที่เป็นอยู่ เป็นทหารอาชีพที่ไม่ต้องไปรับใช้คุณหญิงคุณนายอีกต่อไป ทหารได้รับทุนการศึกษา มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานครองชั้นยศถึงพันโทด้วย ขณะที่เรื่องของการพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ที่ไม่ต้องไปสูญเสียงบประมาณให้กับต่างประเทศ อีกทั้งจะเกิดสร้างการจ้างงานเป็นจำนวนมาก ก็เป็นสิ่งที่เรามุ่งมั่นจะให้เกิดขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังมีเรื่องของที่ดินกองทัพ ธุรกิจกองทัพ ที่อยู่กับมือนายพลไม่กี่คน ต้องนำมาสร้างรายได้ให้กับประเทศ ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่” รังสิมันต์ กล่าว

ด้านนายกรุณพล กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเองมีความผูกพันกับข้าราชการ กับทหาร เพราะพ่อจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเพื่อนเป็นทหารหลายคน ที่ผ่านมาได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของข้าราชการรวมถึงทหารมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่มีคำถามมากๆ คือ ทำไมนายทหารหลายคนที่เกษียณจากนายพลแล้วมีเงินเก็บมากมาย เขาบอกว่าไม่ได้โกง แต่เงินส่วนนี้บางครั้งก็มาจากการทำธุรกิจซึ่งขูดรีดเอาจากทหารชั้นผู้น้อย มีทั้งขายเสื้อ กางเกง กางเกงนั้น รองเท้า สารพัด ภาษีของประชาชนเหล่านี้แทนที่จะใช้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือทหารชั้นผู้น้อยควรจะได้ใช้ข้าวของเครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพ กลับไม่ได้ ขณะที่รายได้จากตรงนี้ เงินจากตรงนี้ก็ดันตกไปอยู่กับนายทหารไม่กี่คนที่ถืออำนาจในการใช้จ่ายงบประมาณพวกนี้

นายกรุณพล กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเมื่อก่อน เครื่องแบบทหารเป็นเครื่องแบบที่ลูกผู้ชายที่ทุกคนอยากสวมใส่ ตนเองก็เช่นกัน แต่เมื่อโตขึ้นกลับรู้สึกผิดหวัง เพราะได้เห็นความเหลวแหลกของระบบ เห็นการใช้เงิน ใช้เส้นสาย ไต่เต้าไปมีอำนาจ เหมือนอย่างที่ ส.ส.รังสิมันต์ โรม เคยอภิปรายเรื่องตั๋วช้าง คิดว่าในระบบทหารทหารก็เช่นกัน ทหารชั้นผู้น้อยเมื่อเริ่มรับราชการ ครอบครัวของเขาอยู่บ้านพักทหารแบบไหน 30 ปีผ่านไปก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ขณะที่นายทหารนายพลมีบ้านใหญ่โต เมียขับรถหรู มีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงใช้ และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเรามีนโยบายปฏิรูปกองทัพ เพื่อทำให้ทหารชั้นผู้น้อยอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีสวัสดิการ และอยู่อย่างที่ผู้คนชื่นชม ทำให้คนภาคภูมิใจในเครื่องแบบทหาร