สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ( ยูเออี ) เมื่อวันที่ 31 ม.ค. ว่า กระทรวงกลาโหมของยูเออีรายงานเมื่อวันอาทิตย์ว่า ระบบป้องกันขีปนาวุธสามารถตรวจจับและสกัดขีปนาวุธลูกหนึ่ง ซึ่งมีทิศทางมาจากเยเมน จึงเชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของกองกำลังฮูตี โดยเศษซากของขีปนาวุซึ่งถูกทำลายแล้ว ตกในพื้นที่รกร้างห่างไกลแห่งหนึ่ง


แม้รายงานของฝ่ายความมั่นคงยูเออีไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ขีปนาวุธพุ่งเป้าโจมตีกรุงอาบูดาบี หรือเมืองดูไบ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ ประธานาธิบดีไอแซค เฮอร์ซอก ของอิสราเอล กำลังปฏิบัติภารกิจเยือนยูเออีครั้งประวัติศาสตร์ หลังมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ตามข้อตกลง “อับราฮัม” เมื่อเดือน ก.ย. 2563 ทั้งนี้ เฮอร์ซอกยืนยันจะยังปฏิบัติภารกิจอยู่ในยูเออีต่อไปตามกำหนด


ทั้งนี้ กบฏฮูตีซึ่งยึดครองกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมนได้อย่างเหนียวแน่น ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2557 ยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมัน และพื้นที่ก่อสร้าง ในกรุงอาบูดาบี เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิอย่างน้อย 3 ราย เป็นคนงานชาวต่างชาติ หลังจากนั้นอีกเพียงสัปดาห์เดียว กบฏฮูตีพยายามยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐ “อัล ดาฟรา” ในเขตชานกรุงอาบูดาบี แต่ระบบแพทริออตสกัดไว้ได้


ขณะที่สหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) เผยแพร่รายงานว่า เด็กในเยเมนอย่างน้อย 1,406 ราย ซึ่งกลุ่มฮูตีเกณฑ์ให้เป็นทหารเด็ก เสียชีวิตท่ามกลางสมรภูมิภายในประเทศ เมื่อปี 2563 และในระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ค.ปีที่แล้ว มีเด็กเสียชีวิตจากการทำหน้าที่ทหารเด็กในเยเมนอย่างน้อย 562 ราย ส่วนใหญ่มีอายุ 10-17 ปี


นอกจากนี้ รายงานฉบับเดียวกันยังระบุด้วยว่า กองกำลังฮูตียังคงพยายามนำเข้าอาวุธจากบริษัทหลายแห่งในยุโรปและเอเชีย โดยดำเนินการผ่านเครือข่ายซับซ้อน เพื่อการอำพรางสถานะที่แท้จริง.

เครดิตภาพ : REUTERS