จากกรณีโลกออนไลน์แชร์คลิป นายเฆวินทร์ พล บุตรชายของ ดร.สุนิล พล หรือ “หมอสุนิล” เจ้าของ ดร.สุนิล อินเตอร์เนชั่นแนล เดนทัลคลินิก หมอฟันระดับมหาเศรษฐีพันล้านในเมืองไทย กำลังถูกคนขับรถแท็กซี่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ปรี่เข้ามาขู่หาเรื่องจะทำร้ายร่างกาย หลังเรียกราคาค่าโดยสาร 600 บาท แล้วไม่ยอมไป ซึ่งภายหลังทางขนส่งจังหวัดภูเก็ต เตรียมเรียกแท็กซี่คู่กรณีเข้าชี้แจง ตามที่ปรากฏเหตุการณ์ไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 31 ม.ค. นายเจษฎา หรือบังหนุ่ม คาหะปะนะ อายุ 48 ปี โชเฟอร์รถแท็กซี่ ที่ปรากฏในคลิป ได้เดินทางมายังศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยภรรยาและลูกสาว เพื่อเข้าพบเข้าชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายอานุภาพ รอดขวัญ ยอดระบำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนายจตุรงค์ แก้วกสิ รักษาการขนส่งจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกประจำจังหวัดภูเก็ต โดยยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากความโมโหที่ได้ยินนักท่องเที่ยวรายนั้นหาว่าโกง โดยเมื่อวานนี้ได้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากที่ทางคู่กรณีได้ไปแจ้งความว่า ตนได้ข่มขู่ทำให้เขาหวาดกลัว ซึ่งตนก็ไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา และจะไปขอคำปรึกษาจากคนที่รู้เรื่องข้อกฎหมาย ส่วนตนก็อยากให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุด ไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของอาชีพเสียไป เพราะการกระทำของตน

นายจตุรงค์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวของภูเก็ต วันนี้จึงได้มีการประชุมร่วมกันและได้นำประเด็นนี้เข้ามาพิจารณาร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งตำรวจ อัยการ หอการค้า รวมถึงภาคเอกชน เพื่อระดมความคิดเห็น กำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดกรณีพิพากหรือปัญหาในลักษณะดังกล่าวอีก ซึ่งอัตราค่าโดยสารรถรับจ้างในจังหวัดภูเก็ต ได้มีการจัดทำอัตราค่าโดยสารแนะนำไว้ เพื่อให้ตัวผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดภูเก็ต ได้ดาวน์โหลด เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงในการต่อรองราคาเพื่อใช้บริการ โดยใช้ราคาแนะนำเป็นฐาน และที่สำคัญเพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบผู้โดยสาร

ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการสื่อสารที่ไม่รัดกุมรอบคอบ ไม่มีการแนะนำอัตราค่าโดยสารที่กำหนดโดยทางจังหวัด ซึ่งต้องยอมรับว่าปัญหาสำคัญของภูเก็ตคือปัญหาเรื่องรถสาธารณะ การยกระดับการให้บริการจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่เริ่มเปิดเมืองเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาภูเก็ตเป็นจำนวนมาก การเป็นเจ้าบ้านที่ดี จึงต้องมีการทบทวนและทำความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของผู้ให้บริการ ซึ่งเรื่องนี้ทางขนส่งจังหวัดก็จะเป็นเจ้าภาพในการเชิญกลุ่มผู้ให้บริการรถรับจ้างกลุ่มต่างๆ เข้ามารับทราบนโยบายและมาตรฐานในการให้บริการ ที่จะมีการเร่งดำเนินการโดยเร็ว

ส่วนปัญหารถรับจ้างที่จะเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งอาจจะยังคงมีปัญหาในการปิดกั้นอยู่ ทางจังหวัดภูเก็ตก็จะให้ความสำคัญ และจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกับตำรวจและทางปกครอง ในการจัดพื้นที่จอดรถรับจ้างสาธารณะในแต่ละประเภท ทั้งรถยนต์บริการและรถแท็กซี่มิเตอร์ รวมถึงรถอื่นๆ ที่จะเป็นทางเลือกให้กับนักท่องเที่ยวที่สามารถเลือกใช้บริการได้อย่างเสรี รวมถึงการเรียกใช้รถรับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นเทรนด์ในอนาคต การเรียกใช้รถผ่านแอพก็จะเข้ามาแทนที่การเรียกรถตามคิว จึงได้มีการเตรียมรองรับเอาไว้ โดยเฉพาะปัญหาเรียกรถแล้วไม่สามารถเข้าไปรับได้ ก็จะแก้ไขในส่วนนี้

โดยรถยนต์บริการต่างๆ ที่ให้บริการอยู่ในจังหวัดภูเก็ต จะเป็นการตกลงราคา ซึ่งจะไม่เหมือนกับรถยนต์โดยสารประจำทาง ถ้ารถโดยสารประจำทางก็จะมีอัตราค่าโดยสารชัดเจน หากผู้ให้บริการไม่เก็บค่าโดยสารเป็นไปตามอัตราที่กำหนดของทางราชการก็จะมีบทลงโทษที่ชัดเจน ส่วนการให้บริการรถรับจ้างสาธารณะทั่วไป เช่น รถตุ๊กๆ รถแท็กซี่ป้ายเขียวต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับต้นทางปลายทาง ของผู้ใช้บริการ ราคาก็จะขึ้นอยู่กับมาตรฐานของผู้ให้บริการ เป็นรถขนาดเล็ก รถขนาดใหญ่ ราคาก็อาจจะสูงตามไป

ปัจจุบันมีรถให้บริการ ซึ่งเป็นรถป้ายเขียวเกือบ 4 พันคัน รถตุ๊กๆ สีแดง ที่อยู่บริเวณหน้าหาดประมาณ 1 พันคัน ส่วนที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ส่วนแท็กซี่มิเตอร์จะมีประมาณ 290 คัน ซึ่งส่วนใหญ่จะให้บริการอยู่ที่สนามบิน

ส่วนการใช้แอพพลิเคชั่นของจังหวัดภูเก็ตมีหลากหลาย แต่แอพที่ได้มีการรับรองจากขนส่งทางบกขณะนี้มีเพียงแอพเดียวก็คือ เฮลโลภูเก็ตเซอร์วิส ซึ่งได้รับการตรวจสอบราคาจากกรมการขนส่งทางบกเรียบร้อยแล้ว ส่วนแอพอื่นอยู่ในระหว่างการขอการรับรอง ยังไม่ได้รับอนุญาต ราคาที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งก็จะมีราคาที่เป็นไปตามกฎหมาย รวมถึงถ้าเป็นรถยนต์บริการต่างๆ ก็จะเป็นไปตามอัตราที่ทางจังหวัดจัดทำอัตราแนะนำ ซึ่งจากข้อเท็จจริงแอพที่ทางผู้เสียหายใช้ ก็เป็นแอพที่อยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาต ราคาจึงมีความแตกต่างกันอยู่ แต่อย่างไรก็ตามก็จะไปตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า สาเหตุใดที่รถไม่สามารถเข้าไปรับผู้โดยสารตรงนั้นได้

“พฤติกรรมของแท็กซี่ที่ปรากฏตามคลิปถือว่าไม่เหมาะสม ซึ่งพบว่าผู้ขับขี่เองก็อยู่ในอารมณ์โกรธ จึงมีการใช้วาจาต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม ตรงนี้ทางขนส่งจังหวัดก็จะดำเนินการลงโทษ และอบรมตัวผู้ขับขี่รถให้ใช้กริยาวาจาที่สุภาพ ถึงแม้ว่าจะมีข้อขัดแย้งต่างๆ ที่จะมีการนำตัวเข้าอบรม 3 ชั่วโมง รวมถึงมาตรการในการปรับแต้มผู้ขับขี่รถโดยสาร ก็อาจจะมีการนำเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาเพื่อใช้ในอนาคต” รักษาการขนส่งจังหวัดภูเก็ต กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการให้ข้อมูลของโชเฟอร์รถแท็กซี่ กับรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีรายงานว่า ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่จะดำเนินการ หรือมีบทลงโทษอย่างไรต่อไป ต้องรอผลสรุปจากการประชุมอีกครั้ง ส่วนคู่กรณีล่าสุดทราบว่าได้เดินทางกลับไปยังกรุงเทพฯ แล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา.