จากกรณีที่ น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี ก่อเหตุกินยาเบื่อหนูฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง สืบเนื่องจาก น.ส.เอ แจ้งความดำเนินคดีพี่เขยที่ก่อเหตุข่มขืนตัวเองในบ้านเมื่อ เม.ย.62 ล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค.65 ได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ยกฟ้องจำเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุกจำเลย 3 ปี

สามีสาวสุพรรณยันไม่ทำอะไรคู่กรณี ปล่อยพี่จุดธูปถามผู้ตายอยากให้ช่วยไหม

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษาคดีดังกล่าวของศาลฎีกาที่ 3912/2564 พนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ นายจักรวาล (สงวนนามสกุล) จำเลย

เรื่องข่มขืนกระทำชำเรา โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 62 เวลากลางคืน จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย เพื่อสนองความใคร่ของจำเลย โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารผู้อื่น และให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เนื่องจากผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบเชื้ออสุจิในช่องคลอดของผู้เสียหาย แต่พบหลักฐานว่ากางเกงของผู้เสียหายที่ใส่ในคืนเกิดเหตุ เมื่อนำไปตรวจพิสูจน์แล้วพบดีเอ็นเอ (DNA) ของจำเลยอยู่ที่กางเกงตัวดังกล่าวโดยไม่พบอสุจิ จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) ลงโทษจำคุก 3 ปี และให้จำเลยชำระเงินแก่ผู้เสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า ผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวนว่า ขณะผู้เสียหายรู้สึกตัวขึ้นมามองเห็นจำเลยกำลังข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่ในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ต่างกับที่ให้การในชั้นศาลว่าขณะเกิดเหตุจำเลยทำอะไรกับผู้เสียหายบ้าง ผู้เสียหายก็ไม่ทราบและผู้เสียหายอ้างว่าไม่รู้สึกตัว และที่สามีของผู้เสียหายให้การว่าได้นำกางเกงที่เป็นหลักฐานมาดมดูแล้วได้กลิ่นเหมือนอสุจิผู้ชายนั้น ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ก็ไม่พบคราบอสุจิของจำเลยที่กางเกงดังกล่าว และไม่พบผลตรวจ DNA ของผู้เสียหายในกางเกงดังกล่าวเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยขึ้นคร่อมบนตัวผู้เสียหายและหลั่งน้ำอสุจิบนร่างกายผู้เสียหายหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยฐานกระทำอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 (เดิม) และยกคำร้องของผู้ร้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7