เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.2699/2562 พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รองผู้บังคับการกองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ตำเเหน่งตอนฟ้อง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นจำเลย ในคดีฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ

คำฟ้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า ขณะนั้นโจทก์เป็นตำรวจตำแหน่งผู้กำกับ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.จชต.) กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 54 จำเลยกระทำผิดอาญาโดยเจตนานำคดีอาญามาฟ้องโจทก์อันเป็นเท็จต่อศาลอาญา ในข้อหาหรือฐานความผิด ร่วมกันก่อ ใช้ สั่งการ ก่อ ใช้ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจำเลยได้บรรยายฟ้องกล่าวหาโจทก์ว่า โจทก์กับพวก 12 คน (โจทก์เป็นจำเลยที่ 11) ได้ร่วมกัน สมคบกัน สั่งการ ก่อ ใช้ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย ซ่อนเร้นและให้ความช่วยเหลือ นายเขตสยาม เนาวรังสี จำเลยตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ในช่วงที่ศาลจังหวัดนครพนม ได้ออกหมายจับเป็นเหตุ ยังมีการพูดจาใส่ร้ายโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยได้บอกแก่นายเขตสยามว่าจะถูกโจทก์อุ้มไปฆ่า จากการให้ข้อมูลกล่าวหาโจทก์ อันเป็นหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง มองโจทก์เป็นคนไม่ดี เป็นคนชั่วและเคยเบิกความที่ศาลจังหวัดนครพนม

ในคดีจำเลยได้ฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายเขตสยาม ข้อหาหมิ่นประมาทว่าเป็นผู้ประกอบการร้านคาราโอเกะดังกล่าวจริงและเป็นผู้ร้องเรียน ซึ่งการร้องเรียนไปยังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) และได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรธาตุพนม จังหวัดนครพนมนั้น เนื่องจากนายเขตสยามได้รับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริง โจทก์ไม่มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับนายเขตสยามแต่อย่างใด และเป็นสิทธิโดยชอบธรรมที่จะร้องขอความเป็นธรรมที่ได้รับความเดือดร้อนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาความเดือดจากกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่ นายเขตสยามได้โทรศัพท์มาหาโจทก์ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่นายเขตสยามได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนถึง ผบ.ตร. และ ผบช.ก. ด้วยตนเองแล้วซึ่งจำเลยฟ้องโจทก์ด้วยเอกสารอันเป็นเท็จ ที่มุ่งใส่ร้ายกลั่นแกล้งโจทก์ ให้ถูกดำเนินคดีอาญา และรู้ว่าไม่มีความผิดเกิดขึ้น จัดวางรูปแบบในหนังสือกล่าวหาโจทก์ เพื่อมุ่งมีเจตนาให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย

เเละวันที่ 25 ธ.ค. 55 เวลากลางวัน จำเลยมีเจตนาเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต่อศาลอาญาหมายเลขคดีดำที่ อ.2826/2554 เป็นการเบิกความอันเป็นความเท็จทั้งสิ้น และเป็นการเบิกความใส่ร้ายโจทก์ในลักษณะที่เบิกความต่อศาลให้เห็นว่า โจทก์ได้กระทำความผิดอาญาข้อหาหรือฐานความผิดปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จในการปฏิบัติหน้าที่ ตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 แต่ความจริงนั้น โจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามอำนาจหน้าที่ตามที่อยู่ในกรอบของกฎหมายและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาการ

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.57 คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 2826/2554 ศาลอาญาได้มีคำสั่งว่าฟ้องของโจทก์ในคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ข้อหาความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จ และข้อหาหมิ่นประมาทจำเลยนั้น ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะได้กระทำความผิดตามที่จำเลยระบุในฟ้อง ฟ้องโจทก์กรณีดังกล่าวจึงไม่มีมูล หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลอาญา จากนั้นเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 57 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์กับพวก และคดีถึงที่สุดแล้ว เหตุตามฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นที่ศาลอาญา แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนตามกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีเองโดยภายหลังไต่สวนมูลฟ้องเเล้ว ศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 63 ศาลเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาไกล่เกลี่ยกัน ก่อนขั้นตอนสืบพยานโจทก์ และจำเลย แต่ พ.ต.อ.กฤษณะพงศ์ ไม่ได้ประสงค์ที่จะเจรจาไกล่เกลี่ย ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง

ในวันนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เดินทางมาพร้อมทนาย ความเพื่อฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ภายหลังฟังคำพิพากษา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนรีบเดินทางกลับทันที.