เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พา นางมน อายุ 48 ปี มารดา พร้อม บุตรสาว 2 คน อายุ 24 และ 26 ปี และนายกล้วย สามี อายุ 53 ปี เข้าพบ พ.ต.ต.นันพิพัฒน์ ผังคี สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งเอาผิด พ.ต.ท. นายหนึ่ง กับพวกประมาณ 12 นาย ในข้อหา “ร่วมกันพยายามฆ่าและร่วมกันปล้นทรัพย์ร่วมกันพรากผู้เยาว์” หลังอ้างว่าถูกตำรวจชุดดังกล่าวจับกุมรุมซ้อมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงถูกจับตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวเพื่อข่มขู่รีดเอาข้อมูล

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือน ก.ค. 2550 ขณะที่นายกล้วย อาชีพพ่อค้าขายหมู นางมน ภรรยา และบุตรสาวอีก 2 คน กำลังพักผ่อนอยู่ในบ้านพักตั้งอยู่ในหมู่รัตนโกสินทร์ 200 ปี ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ได้มีนายตำรวจยศ พ.ต.ท. นายหนึ่ง พร้อมพวก ขณะนั้นปฏิบัติหน้าที่ชุดปราบปรามยาเสพติดสังกัดหนึ่งในภูธรจังหวัดปทุมธานี บุกเข้ามาภายในบ้านแล้วทำการควบคุมตัว อ้างว่าภายในบ้านมียาเสพติด แต่เมื่อตรวจค้นไม่พบของกลางจึงนำตัวผู้เสียหายทั้ง 4 คน ไปที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี เพื่อทำการซักถาม ก่อนจะแยกตัวนายกล้วยและนางมนไปสอบปากคำที่เซฟเฮาส์ แล้วใช้กำลังทำร้ายร่างกาย ใช้ไฟฟ้าช็อต ถุงพลาสติกครอบศีรษะเพื่อให้ยอมรับสารภาพ หรือบอกที่ซ่อนยาเสพติด แต่ด้วยความที่ผู้เสียหายไม่รู้เรื่องยาเสพติดจึงไม่ยอมรับสารภาพ จนกระทั่งชุดสืบสวนอีกชุดหนึ่งโทรฯ มาแจ้งว่าพบของกลางยาเสพติดเกือบ 4 พันเม็ด บริเวณนอกรั้วบ้าน ตำรวจชุดดังกล่าวจึงนำตัวนายกล้วย กลับมาที่บ้านพักแล้วบังคับให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา แล้วนำตัวไปดำเนินคดี

นายอัจฉริยะ กล่าวเสริมอีกว่า จากการตรวจสอบพบว่าคดีดังกล่าวมีข้อพิรุธหลายอย่าง ตั้งแต่การเข้าตรวจค้นโดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ และคำให้การของนายเอ (นามสมมุติ) ชาวลาว ซึ่งเป็นผู้ต้องหาอีกคนหนึ่ง ที่ตอนแรกมีการซัดทอดมายังนายกล้วย ผู้เสียหาย ก่อนที่ต่อมาผู้ต้องหาชาวลาวคนดังกล่าวจะยอมรับแล้วว่าตนเองเป็นเจ้าของยาเสพติด นอกจากนี้ในคดีดังกล่าวยังพบว่ามีการฟ้องซ้ำในชั้นอัยการ ทั้งที่ไม่ได้มีการสอบปากคำเพิ่ม รวมถึงยังพบว่าในปีเดียวกันชุดจับกลุ่มดังกล่าวได้มีการกระทำลักษณะนี้หลายคดีแต่ก็ไม่เคยถูกดำเนินการทางวินัยหรืออาญา

ด้าน นายกล้วย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว บอกว่าตนเองไม่ยอมรับสารภาพและต่อสู้คดีมาถึง 3 ศาล ก่อนจะถูกตัดสินติดคุกอยู่นาน 14 ปี กระทั่งเมื่อได้พระราชทานอภัยโทษออกมา จึงตัดสินใจนำเรื่องเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานรัฐ ทั้งกระทรวงยุติธรรม และผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงเดินทางมาเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม เพื่อให้ช่วยเรื่องคดีที่เมียและลูกถูกซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายในวันนี้

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง พ.ต.ท. ที่ถูกร้องเรียน เจ้าตัวกล่าวสั้นๆ เพียงว่า ขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกร้องเรียน พร้อมยืนยันในวันนั้นปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ส่วนเรื่องที่ผู้เสียหายเข้าแจ้งความนั้นก็ถือเป็นสิทธิ แต่ส่วนตัวก็จะขอสู้คดีต่อไป พร้อมย้ำชัดว่าไม่มีการบังคับยัดยาเสพติดให้ผู้ต้องหา รวมถึงการทำร้ายร่างกายและรีดทรัพย์ตามที่ถูกกล่าวอ้างอย่างแน่นอน

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้ร้องอย่างละเอียด เพื่อนำไปพิจารณาควบคู่กับพยานหลักฐานต่างๆ ก่อนส่งเรื่องต่อให้กับทางผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป