เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ในฐานะโฆษก บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ร่วมกันแถลงความคืบหน้ากรณี วานนี้ ได้มีชายคลั่งก่อเหตุปาแก้วในห้างดังย่านปทุมวัน โดย พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนเดียวกันกับที่เคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายตนเอง และปล่อยงูที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 62 และเมื่อวันที่ 1 ก.พ.65 บนถนนราชดำริ ฝั่งหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยใช้อาวุธมีดทำร้ายตัวเอง พร้อมทั้งปล่อยงูเห่า 3 ตัว ซึ่งเจ้าของคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี กำลังอยู่ระหว่างรอผลตรวจแอลกอฮอล์และผลตรวจพิสูจน์สารเสพติด รวมทั้งผลตรวจสภาพจิตของผู้ก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งผลการตรวจของ รพ.ตำรวจ ยังไม่ออกมา จึงอยู่ระหว่างการดำเนินคดีของ สน.ลุมพินี และหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ก็จะมีการเเจ้งดำเนินคดีเพิ่มเติม

ส่วนทางด้านคดี ของ สน.ปทุมวัน ที่เกิดเหตุล่าสุด ขณะนี้ทางฝ่ายกฎหมายของห้างดังกล่าวก็ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน โดยเบื้องต้นตำรวจจะดำเนินคดี 1) ผู้ใดส่งเสียงทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควรและ 2) ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ โดยทางตำรวจจะมีการเชิญให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

กรณีที่หลายฝ่ายในสังคมมองว่า ผู้ก่อเหตุมีการกระทำผิดซ้ำบ่อยครั้งจะเข้าข่ายบุคคลอันตรายหรือไม่ ทาง พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า บุคคลดังกล่าวถือว่าเป็นบุคคลที่น่าสงสาร เนื่องจากเป็นคนป่วยที่มีใบรับรองแพทย์ยืนยันในการรักษาตัว ดังนั้นจึงอยากประชาสัมพันธ์ให้กับญาติพี่น้องและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ให้มีการดูแลผู้ก่อเหตุดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ขณะที่ พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของเหตุการณ์ดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องมีการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องของสุขภาพและความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของผู้ป่วย เพื่อบังคับผู้ป่วยให้เข้ารับการรักษา และเป็นการร่วมกันหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุความรุนแรงในอนาคต เนื่องจากที่ผ่านมา ในใบรับรองแพทย์ของผู้ก่อเหตุรายนี้ได้มีการระบุว่า เป็นผู้ป่วยโรคจิตอารมณ์แปรปรวน โดยได้มีการเข้ารักษาที่ รพ.สมเด็จเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.62 แต่ปัจจุบันได้ปฏิเสธที่จะเข้าไปรับยาเพื่อใช้สำหรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน บุคคลใกล้ชิดหรือญาติที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วย หากผู้ป่วยมีการกระทำความผิดซ้ำ ญาติและผู้ดูแลก็จะต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะเป็นการปล่อยปละละเลย

ส่วนการดำเนินคดีต่อผู้ก่อเหตุรายนี้ที่ได้ก่อเหตุซ้ำๆ นั้น ควรจะบรรยายให้ศาลเห็นถึงพฤติการณ์ดังกล่าว และมีคำสั่งออกมาหรือไม่ ทาง พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เนื่องจากความผิดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดลหุโทษ ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.รักษาความสะอาด พ.ร.บ.จราจร ก็จะเป็นการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งจบในชั้นพนักงานสอบสวนเท่านั้น และด้วยเหตุที่เกิดขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะประสานข้อมูลกับ รพ.ที่ทำการรักษาผู้ก่อเหตุรายนี้ จึงไม่สามารถส่งเรื่องไปชั้นศาลเพื่อดำเนินการต่อได้