จากกรณีเพจ “สายไหมต้องรอด” ได้มีการนำเสนอเรื่องราวหญิงสาววัย 50 ปี ถูกกลุ่มวัยรุ่นในชุมชนอนันต์สุขสันต์ รุ่น 18 ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน ทำร้ายร่างกาย ตาขวาปูดจนปิดสนิท เนื้อกลายเป็นสีม่วงจนเขียว ใหญ่เท่าลูกมะนาว มีน้ำเหลืองไหลออกมา อาการสาหัส เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ก.พ. พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผบก.น.2 เปิดเผยว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 2 ราย มาสอบสวนที่ สน.บางเขน ก่อนที่จะรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ เบื้องต้นเป็นการทำร้ายร่างกายด้วยมือ ไม่มีการใช้อาวุธ ซึ่งสาเหตุมาจากปัญหาทะเลาะวิวาทที่มีมาก่อนหน้านี้ ซึ่งผู้ก่อเหตุรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ และลงมือทำไปด้วยอารมณ์

เบื้องต้นตำรวจจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และจะรอผลตรวจร่างกายของผู้บาดเจ็บจากแพทย์อีกครั้ง ว่าบาดแผลที่ได้รับ ส่งผลร้ายแรงมากน้อยเพียงใด ส่วนประเด็นอาวุธมีด เบื้องต้นยังไม่พบบาดแผลที่เกิดจากมีด แต่ได้มีการนำอาวุธมีดมาตรวจสอบแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ก่อเหตุทั้ง 2 รายได้แก่ นายรังสรรค์ หรือ เต้ย ธีรพงษ์พิทักษ์ 34 ปี และนายอนันต์ หรือ อ๊อด เพ็ชรอินทร์ อายุ 36 ปี ได้เข้ามามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ต่อมาทางชุดสืบสวนได้นำตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 2 ราย ออกไปเอาอาวุธมีดที่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิด ก่อนจะกลับมาพร้อมมีดดายหญ้า 1 เล่ม

ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่ สน.บางเขน น.ส.ฉันทนา วงษ์เอี่ยม อายุ 50 ปี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี รอง ผกก.(สอบสวน)​สน.บางเขน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าว เปิดเผยว่าในวันเกิดเหตุ ตนพยายามที่จะทุบและนำสังกะสีที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 2 คน นำมาปิดขวางทางเข้าออกบ้าน จึงถูกวิ่งไล่ทำร้าย ก่อนจะหนีไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งและถูกรุมทำร้าย จนมีคนมาช่วยเอาไว้ ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนจึงวิ่งหนี และไปดักทำร้ายตนระหว่างทางกลับ ตนจึงวิ่งหนีไปยังบ้านของพี่ชาย แต่ทั้ง 2 ก็ยังตามมารุมทำร้าย

ทั้งนี้ยืนยันว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 มีการใช้อาวุธมีดระหว่างรุมทำร้ายตน โดยมีการฟันมาที่บริเวณหลังหัว 1 ครั้ง แผลยาวประมาน 2 นิ้ว

ส่วนสาเหตุในการรุมทำร้าย ยืนยันว่ามาจากการที่ตนพยายามพังสังกะสีที่ถูกนำมาปิดทางเข้าออกบ้านของตน ซึ่งตั้งอยู่บนที่หลวง ที่ผ่านมาไม่เคยมีการทะเลาะวิวาท หรือ ทำให้เสียทรัพย์กันมาก่อน เพียงแต่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ไม่อยากให้ตนเข้าไปใช้พื้นที่ดังกล่าว จึงมีปากเสียงกันบ้างบางครั้ง.