นายโอเรล พาฟโล อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย กล่าวถึงวิกฤติการณ์ตามแนวพรมแดนตะวันออกของยูเครน ซึ่งติดกับภาคตะวันตกของรัสเซีย ว่าเป็นหนึ่งในรูปแบบของ “สงครามเย็น” อย่างไรก็ตาม ยูเครนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าความตึงเครียดที่ยืดเยื้อจะไม่ลุกลามเป็น “สงครามร้อน” ซึ่งจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง
ทั้งนี้ รัฐบาลมอสโกประกาศข้อเรียกร้องด้านความมั่นคงหลายประการ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว พบว่าเป็นการ “ปฏิเสธสิทธิอันชอบธรรม” ของยูเครน ที่จะดำเนินนโยบายในฐานะเป็นรัฐเอกราช กรณีที่ยูเครรนไม่สามารถประนีประนอมได้นั้น แน่นอนว่า คือทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน อนาคตของยูเครนเป็นเรื่องที่ชาวยูเครนเท่านั้น ซึ่งจะสามารถตักสินใจได้ ไม่เกี่ยวข้องกับ “บุคคลที่สาม” โดยเฉพาะการยกรดับความร่วมมือ และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเคียฟ กับสหภาพยุโรป ( อียู ) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
อุปทูตยูเครนกล่าวถึงสถานการณ์ในภูมิภาคดอนบาส หรือภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งสองเขตหลัก คือโดเนตสก์และลูฮันสก์ ว่านับตั้งแต่การสู้รบปะทุเมื่อเดือน เม.ย. 2557 จนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีการเจรจาภายใต้ข้อตกลงมินสก์ ระหว่างผู้แทนของรัฐบาลกลางในกรุงเคียฟ กับผู้แทนของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนจากทั้งสองเขต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพยูเครนไม่เคยมีแผนการโจมตีโต้กลับครั้งใหญ่ในเขตโดเนตสก์และลูฮันสก์ ที่แม้เป็นพื้นที่ขัดแย้งยืดเยื้อ แต่ยังคงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของยูเครน
ยูเครนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง ว่ายังคงมีโอกาสและความเป็นไปได้ ในการบรรเทาความขัดแย้งทั้งกับรัสเซีย และสถานการณ์ในภูมิภาคดอนบาส ได้โดยสันติวิธี ซึ่งวิธีเดียวกันนี้จะเป็นการชักนำให้รัสเซียกลับมาอยู่บนเส้นทางทางการทูตอีกครั้งด้วย อย่างไรก็ตาม น่าผิดหวังที่รัฐบาลมอสโกยังคงใช้ยุทธวิธีที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร หรือสงครามข่าวสาร สร้างความตื่นตระหนกให้กับพลเมืองยูเครน และก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมให้กับทุกมิติของเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ นายพาฟโลมองว่า สถานการณ์และความตึงเครียดในยูเครน ไม่ใช่เรื่องของความมั่นคงภายในประเทศ และภายในภูมิภาคอีกต่อไป เนื่องจากการดำเนินการอันก้าวร้าวของอีกฝ่าย เป็นการท้าทายกฎบัตรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จึงขอเรียกร้องประชาคมโลกไม่ควรเพิกเฉยกับเรื่องนี้
เกี่ยวกับท่าทีของไทยนั้น อุปทูตยูเครนกล่าวว่า รัฐบาลเคียฟให้ความสำคัญกับไทยในฐานะพันธมิตรสำคัญลำดับต้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย การส่งเสริมด้านการลงทุนระดับทวิภาคีมีความคืบหน้าเป็นลำดับมาตลอด และเมื่อต้นเดือนนี้ คณะผู้แทนระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศยูเครนและไทย หารือผ่านระบบทางไกลร่วมกัน และผลลัพธ์เบื้องต้นที่ออกมา “เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และน่าพอใจ” สำหรับทั้งสองฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ ยูเครนจึงคาดหวังการแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการของไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ตามแนวพรมแดนทางตะวันออกของยูเครน รัฐบาลเคียฟเชื่อมั่นว่า การแสดงออกอย่างเหมาะสมตามหลักการทางการเมืองระหว่างประเทศ และการทูตของไทย “จะมีความสำคัญ” โดยสามารถร่วมสร้างแรงกระเพื่อมให้กับอีกฝ่าย และ “จะไม่สูญเปล่า” อย่างแน่นอน.
ขอขอบคุณ สถานเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย