สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ว่าสื่อท้องถิ่นหลายแห่งของรัสเซีย เผยแพร่รายละเอียดเบื้องต้น เกี่ยวกับเนื้อหาของ “สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือ ระหว่างรัสเซีย กับสาธารณรัฐโดเนตสก์ และสาธารณรัฐลูฮันสก์” ในภูมิภาคดอนบาส หรือภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ลงนามเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่าความร่วมมือในทุกมิติจะมีผล “เป็นเวลานานอย่างน้อย 10 ปี” และจะขยายเวลาอัตโนมัติทุก 5 ปี หากไม่มีฝ่ายใดแสดงความจำนงขอถอนตัว
Details of Russia-Donbass cooperation treaty emerge
— RT (@RT_com) February 22, 2022
MORE: https://t.co/rjtdknl5Xn pic.twitter.com/5qTfkmdsEc
#Putin recognises #Donetsk (DPR) and #Lugansk People's Republics (LPR) as independent#DPR #LPR pic.twitter.com/F1asCstPN2
— Ruptly (@Ruptly) February 21, 2022
สำหรับมาตรา “น่าจับตาที่สุด” ของข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งมีทั้งหมด 31 มาตรา คือมาตรา 5 ว่าด้วยการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย “มีความชอบธรรมในการก่อสร้าง ใช้งาน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร ฐานทัพ และยุทโธปกรณ์ซึ่งกันและกัน” โดยทำเนียบเครมลินเริ่มด้วยการส่งทหารจำนวนหนึ่ง เข้าไปประจำการในโดเนตสก์ และลูฮันสก์ “เพื่อภารกิจรักษาสันติภาพ”
Fireworks, Russian anthem mark celebrations in Donetsk as #Putin signs decree to recognise the People's Republics of Donetsk and Lugansk#Donbass #Donetsk #Lugansk #DPR #LPR #Russia #UkrainianCrisis pic.twitter.com/Z81DA6lUn2
— Ruptly (@Ruptly) February 21, 2022
ขณะที่มาตรา 6 ระบุเกี่ยวกับ การห้าม “สาธารณรัฐโดเนตสก์ และสาธารณรัฐลูฮันสก์” และรัสเซีย เข้าร่วมกลุ่มและสหภาพความร่วมมือแบบใดก็ตาม ซึ่งขัดต่อผลประโยชน์ของกันและกัน และการไม่ใช้ดินแดนของตัวเองเป็นฐานปฏิบัติการโจมตีทางทหารซึ่งกันและกัน
นอกจากนี้ มาตรา 11 ระบุเกี่ยวกับ “เสรีภาพในการเคลื่อนย้ายของพลเมือง” ระหว่างภาคีที่ร่วมลงนาม และมาตรา 13 มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การปกป้องคุ้มครองทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม ตลอดจนอัตลักษณ์ทั้งหมดของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่.
เครดิตภาพ : REUTERS