เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่โรงแรมเดอะเดวิสแบงค็อก สุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ตั้งโต๊ะแถลงวิเคราะห์ข้อสงสัยในมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับคดีการพลัดตกเรือจมน้ำเสียชีวิตปริศนาของแตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ อายุ 38 ปี นักแสดงชื่อดัง ว่า ส่วนตัวอยากให้บุคคลทั้ง 5 ที่อยู่บนเรือร่วมกับดาราสาวออกมาพูดความจริงเพราะขณะนี้จากข้อมูลที่ตนเองทราบ มีการโกหกขึ้นโดยจุดประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนความผิดที่เกิดขึ้น เพราะหากมีการโกหกตั้งแต่ขั้นตอนแรก จะต้องโกหกไปทุกขั้นตอนหรือโกหกต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งในคดีนี้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมากกว่าหนึ่งคน อาจทำให้การโกหกเป็นไปด้วยความลำบาก

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากข้อมูลตนเองทราบว่า กลุ่มคนที่อยู่บนเรือทั้ง 5 คน หลังเกิดเหตุได้มีการโทรฯ ประสานไปยังนักการเมืองคนหนึ่งที่มีอักษรย่อ ช. เพื่อขอความช่วยเหลือรวมถึงคำแนะนำ จนต่อมากลายเป็นการให้ทุกคนที่อยู่บนเรือให้การไปในทิศทางเดียวกัน ว่าดาราสาวออกไปทำธุระส่วนตัวที่ท้ายเรือ ก่อนเสียหลักพลัดตกน้ำเสียชีวิตซึ่งตนเองมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง เพราะผู้หญิงควรจะต้องอายกับการกระทำดังกล่าว ที่จะเกิดขึ้นบนเรือที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ และเรือล่องอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สามารถจอดเทียบถ้าตามสถานที่ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย เช่น ร้านอาหาร บ้านคน หรือวัด นอกจากนี้หนึ่งในห้าที่อยู่บนเรือตนเองรู้จักเมื่อ 10 ปีก่อน ขณะนั้นนายปอยังเปิดเต็นท์รถมือสองขายรถญี่ปุ่นอยู่ที่ย่านพัฒนาการ ก่อนที่ต่อมาจะรู้จักกับวงการเล่นรถหรูอักษรย่อ ผ. และมีการแนะนำกันต่อๆ มาจนมารู้จักกับนักการเมืองอักษรย่อ ช. คนนี้ ที่มีลักษณะนิสัยชอบเล่นรถหรูขับรถหรูไปสภาบ่อยครั้ง

“ส่วนตัวมองว่าคดีนี้ประชาชนและสื่อมวลชนจะได้รับการแถลงข้อมูลคดีในอีกหนึ่งถึงสองวันต่อจากนี้ ซึ่งทิศทางที่คาดว่าจะมีการแถลงต่อสื่อมวลชนและประชาชนก็คือ อุบัติเหตุ ซึ่งตนเองยืนยันว่าหากทั้ง 5 คน ที่อยู่บนเรือมีการให้ข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาในคดีลักษณะแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีทนายความ อย่างเช่น คดีเสี่ยเบนซ์ก็จบลงด้วยดี ไม่ยืดเยื้อ เพียงแต่ตอนนี้เกิดการโกหกร่วมกัน ทำให้มีการเบี่ยงประเด็นของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อปกปิดความผิดบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องขวดไวน์ที่มีการเจอเพียงขวดเดียว ตนเองยืนยันจากประสบการณ์ว่าขวดไวน์หนึ่งขวดสามารถรินได้มากสุด 7 แก้ว ซึ่งคนบนเรือมีอยู่กัน 6 คน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเพียงขวดเดียว ซึ่งประเด็นเรื่องเมาแล้วขับเรืออาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ผู้กระทำผิดต้องการเบี่ยงเบนประเด็น” นายชูวิทย์ กล่าว

นายชูวิทย์ ยังมีการวาดวงล้อวัฏจักรของกลุ่มไฮโซ คือมีรถหรู เรือเร็ว เหล้าไวน์ ยา นักการเมือง โดยนายชูวิทย์ ระบุว่า ทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวข้องกับวัฏจักรนี้ อีกทั้งตนเองยังทราบว่าหนึ่งในผู้ที่อยู่บนเรือมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยา ซึ่งตนเองตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่มีการหายไปสองวันก่อนจะเข้าพบตำรวจ ซึ่งการหายตัวไปลักษณะแบบนี้ตนเองมองได้เพียงว่าเป็นการจงใจปกปิดการตรวจสอบบางอย่างหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้เชื่อว่าตำรวจต้องมีการตรวจสอบ แต่จะสามารถตรวจสอบเจอหรือไม่อันนี้ตนเองไม่สามารถตอบได้

นายชูวิทย์ บอกอีกว่า ส่วนประเด็นที่มีการพูดถึงว่ามีนายตำรวจ ระดับพลตำรวจตรี ออกมาขายข้อมูลให้กับทางผู้ก่อเหตุ ตนเองไม่เชื่อว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ที่เป็นที่สนใจของประชาชนลักษณะแบบนี้ มีสื่อเกาะติดและนำเสนอเรื่องราวอยู่ทุกวัน ตำรวจไม่มีใครอยากเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้วทุกคนต้องระวังตัว ส่วนประเด็นที่แม่ของดาราสาวออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องเงินเยียวยา ตนเองมองว่าเป็นสิทธิที่คุณแม่สามารถทำได้ ส่วนจะมีใครเป็นคนอธิบายหรือแนะนำคุณแม่หรือไม่ ตนเองตอบได้เพียงว่าเป็นตนเองก็จะแนะนำแบบนี้ เพราะเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ตามกฎหมายและที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการออกมาพูดในช่วงนี้ตนเองมองว่าเพราะเป็นข่าวที่กระแสสังคมยังให้ความสนใจ หากทิ้งไว้และมาพูดให้ทีหลังอาจไปรับความสนใจจากสื่อหรือประชาชน และสุดท้ายเรื่องก็จะเงียบลงไม่มีใครสนใจ

นายชูวิทย์ ยังระบุอีกว่า หากกลุ่มคนในเรือทั้ง 5 มาปรึกษาตนเองตั้งแต่แรก ตนเองก็จะให้คำแนะนำเพียงว่า พูดความจริงทั้งหมดโดยไม่ต้องปกปิดหรือเบี่ยงประเด็นไปประเด็นอื่น เพราะคดีแบบนี้สามารถจบลงได้โดยดี ไม่จำเป็นต้องมีการปรึกษาทนาย เพราะการปรึกษาทนายอาจมาจากสาเหตุของการต้องการปกปิดและต่อสู้คดี ซึ่งเมื่อต่อสู้คดีตนอยากบอกว่า “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน ยอมรับสารภาพติดพอประมาณ” นอกจากนี้นายชูวิทย์ ยังยืนยันอีกว่า ตนเองเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ได้ต้องการอยากดัง เพราะเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว “ตนเป็นดาวฤกษ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์ มีแสงอยู่แล้ว” จึงไม่จำเป็นต้องออกมาเปิดโรงน้ำแข็งหรือการให้ข่าวแบบปั้นน้ำเป็นตัว แบบที่หลายหลายคนกำลังทำอยู่ตอนนี้ พร้อมขอสื่ออย่าตกเป็นเครื่องมือของบุคคลที่จงใจปล่อยข่าวลือต่างๆ เพื่อเบี่ยงประเด็น หรือใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการโยงไปหาบุคคลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียง