ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘ฮัสซัน’ เด็กชายวัย 11 ขวบ ชาวยูเครน ได้รับการยกย่องเทียบเท่า ‘วีรบุรุษ’ หลังจากที่เขาเดินทางเพื่อลี้ภัยออกจากประเทศบ้านเกิดที่อยู่ในระหว่างสงครามตามลำพัง โดยมีข้าวของติดตัวเป็นเพียงถุงพลาสติก 1 ใบ หนังสือเดินทาง และหมายเลขโทรศัพท์ที่เขียนไว้บนหลังมือของเขา 

ฮัสซันหลังจากข้ามพรมแดนไปถึงสโลวาเกีย

ฮัสซันเดินทางเป็นระยะทางราว 620 ไมล์ หรือเกือบ 100 กม. ด้วยรถไฟจากเมืองซาโปริซเซีย ซึ่งเป็นเมืองที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปตั้งอยู่ เพื่อไปหาญาติของเขาในสโลวาเกีย

กองกำลังรัสเซียได้เข้ายึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมีการระดมยิงในบริเวณศูนย์ฝึกอบรม และแม้ว่าจะยังไม่ได้สร้างความเสียหายแก่เครื่องปฏิกรณ์ แต่ประธานาธิบดีเซเลนสกี ก็ประกาศเตือนว่าการโจมตีโรงไฟฟ้าอาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล ในปี 2529 

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ‘ยูเลีย ปิเซตสกายา’ แม่ของฮัสซันได้โพสต์คลิปวิดีโอบนเฟซบุ๊ก โดยกล่าวว่า เธอเป็นหญิงม่ายและอธิบายว่าเธอไม่สามารถออกไปจากเมืองซาโปริซเซียได้ เพราะยังต้องดูแลแม่ของเธอซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง เธอยังกล่าวขอบคุณคนที่ช่วยดูแลลูกชายของเธอและชาวสโลวาเกียที่มีน้ำใจช่วยเหลือเด็ก ๆ ชาวยูเครน และนำพวกเขาไปยังที่ปลอดภัย

เมื่อฮัสซันข้ามพรมแดนได้อย่างปลอดภัย กลุ่มอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ทางการสโลวาเกียได้นำตัวเขาไปยังที่พักพร้อมจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้ รวมถึงเตรียมอาหารสำหรับการเดินทางช่วงต่อไปของเขา เจ้าหน้าที่ของสโลวาเกียช่วยติดต่อญาติของเด็กชายจากเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนไว้บนหลังมือของเขา และพวกเขาก็ได้พบกันในที่สุด

เบอร์โทรศัพท์ของญาติในสโลวาเกียที่เขียนไว้ตรงหลังมือของฮัสซัน

โรมัน มิคูเลค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของสโลวาเกีย โพสต์บนเฟซบุ๊กของเขาหลังจากได้พบกับเด็กชายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า ฮัสซัน อายุเพียง 11 ขวบ แต่การเดินทางของเขาแสดงให้เห็นความมุ่งมั่นและกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้ใหญ่บางคนไม่มี เขายังกล่าวว่า ฮัสซันชนะใจทุกคนด้วยรอยยิ้ม ความกล้าและความมุ่งมั่นของเขา ซึ่งเป็นคุณสมบัติของวีรบุรุษที่แท้จริง

ตามข้อมูลของสหประชาชาติ ชาวยูเครนมากกว่า 2 ล้านคนต้องอพยพออกจากประเทศหลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วยหลายแสนคน

แหล่งข่าว : CBSNews

เครดิตภาพ : Facebook/RomanMikulec13, Facebook/MINISTERSTVO VNÚTRA SR