หากเลือกคำนิยามเพื่ออธิบายความเป็น แอร์-กัญจมา ศรีอรุณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ได้ชัดเจนที่สุดสำหรับหญิงแกร่งแห่งยุค 2021 คงไม่พ้นสำนวนไทยโบราณที่ว่า “มือก็ไกว…ดาบก็แกว่ง” เพราะภายใต้บทบาทของผู้นำทัพงานด้านการสื่อสารองค์กรของ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ซึ่งเจ้าตัวเลือกที่จะไม่นั่งโต๊ะมอบนโยบายให้แก่ลูกทีมเพียงอย่างเดียว แต่เลือกออกแรงเดินหน้าลุยไปพร้อมกับลูกทีมทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อเป็นกระบอกเสียงส่งต่อข้อมูลไปยังลูกค้าคนสำคัญให้เกิดความเข้าใจและเชื่อมั่นต่อองค์กร ขณะเดียวกันไม่ทิ้งบทบาทการทำหน้าที่แม่บ้านให้แก่สามี เจนจัด ศรีอรุณ และบทบาทความเป็นแม่ของลูกชายคนเดียว “น๊อต-กัลป์ ศรีอรุณ” ซึ่งที่ผ่านมาทำหน้าที่ได้ดีไม่มีหักลบสักคะแนนเดียว จนกลายเป็นภาพชินตาของผู้คนรอบข้าง ที่สัมผัสได้ถึงสายใยความรักความอบอุ่นของแม่-ลูกคู่นี้

ในฐานะหัวหน้างานและคุณแม่ลูกหนึ่ง คุณแอร์เล่าถึงหลักการทำงานอย่างไรให้บาลานซ์กับชีวิตครอบครัว รวมถึงวิธีการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เป็นเหมือนด่านทดสอบให้ได้พิชิตแบบไม่ซ้ำในแต่ละวันว่า ก่อนมีลูกก็เป็นคนหนึ่งที่สนุกกับงาน และความท้าทายที่มีเข้ามาในแต่ละวันอย่างเต็มที่ โดยมีหลักง่ายๆ ซึ่งซึมซัมมาจากคำสอนของคุณพ่อของตัวเองนั่นคือ ความมีสติ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การแก้ไขปัญหาอะไรก็ตาม เมื่อมีลูก หลังจากครบกำหนดลาคลอด 3 เดือน กลับไปทำงานเหมือนเดิมโดยจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูก พอตกเย็นเลิกงานรีบกลับบ้านเพื่อมาแตะมือกับคนเลี้ยงให้เขากลับบ้าน และตัวเองดูแลลูกเองทุกอย่าง จนลูกโตก็ยังปฏิบัติแบบเดิม คือทำงานเสร็จกลับบ้านมาเลี้ยงลูก ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตมีปัญหาอะไร และไม่ได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยอะไรด้วย เพราะลูกเป็นความสุขของเรา

“สำหรับเรื่องงานก็ไว้ที่ทำงานไม่เอางานกลับมาเครียดที่บ้าน นอกจากงานไม่เสร็จจริงๆ ซึ่งน้อยครั้งมาก กลับมาบ้านก็ยกเวลาให้ลูกกับสามีหมด รวมทั้งคุณพ่อคุณแม่ซึ่งอยู่ที่บ้านด้วย ส่วนในช่วงนี้ต้องเวิร์ก ฟรอม โฮม ก็ทำงานตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงห้าโมง หกโมง หรือหนึ่งทุ่มแล้วแต่ ซึ่งตรงนี้จะไม่มีใครมายุ่งกับเรา แต่ว่าก็ทำให้เรามีเวลาว่างสามารถดูแลอาหารการกินช่วงกลางวันช่วงเย็นกับครอบครัวได้ ก็ไม่ได้เครียดอะไร เชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องต่างๆ ที่ออฟฟิศ ประกอบกับมีทีมงานแข็งแกร่งที่เขาจะสามารถลดภาระหรือลดความเครียดไปจากพี่ได้” คุณแม่นักบริหารแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต

เมื่อถามถึงสไตล์การเลี้ยงลูกในแบบฉบับตัวเอง คุณแอร์-กัญจมา เล่าว่า ตั้งแต่ลูกยังเป็นเด็กน้อยเลี้ยงแบบผู้ชายๆ ไม่โอ๋จนเกินไป พอโตขึ้นเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเลือกวิธีการเลี้ยงลูกให้เหมือนเป็นเพื่อนกัน คุยกันแบบแมนๆ ตั้งแต่เด็กเล่นเลอะเล่นเละ เล่นอย่างไรก็ให้เขามีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ได้โอ๋มากนัก แต่ก็ให้เขารู้สึกว่าได้รับความอบอุ่นและความรักจากพ่อและแม่ พอเริ่มโตขึ้นมาเลี้ยงแบบเพื่อน เรียกว่าดุลูกน้อยครั้งมาก เน้นรับฟังสิ่งที่ลูกพูด เพื่อให้เขาไว้ใจเรา ทางกลับกันต้องไว้ใจลูกและไม่ยุ่งจู้จี้เขามากนัก คอยดูเขาห่างๆ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดร้ายแรงต่อสังคม หรือต่อเพื่อนฝูง จะไม่ก้าวเข้าไป ซึ่งมั่นใจว่าตรงนี้ตัวเองทำได้ดี จากสิ่งที่ปฏิบัติกับเขานั้นจะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปอยู่ในตัวลูก โดยที่เราไม่จำเป็นต้องยัดเยียด ทั้งความรักความห่วงใย หรือการสัมผัสซึ่งกันและกัน พอเขาเติบโตขึ้นมาเขากล้าที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง หรือว่าแม่ถามอะไร มักตอบตรงๆ ซึ่งพี่เชื่อว่าลูกไม่เคยโกหกแม่ เพราะแม่ไม่เคยตีโพยตีพายกับลูกและเลี้ยงเขาแบบแมนๆ คุยกัน นอกนั้นเลี้ยงดูปูเสื่ออาหารการกินของว่างให้พร้อมทุกมื้อ รู้ใจลูกว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร

ตอกย้ำสิ่งที่แม่กล่าวมาในข้างต้นว่าไม่มีอะไรเกินจริง “น๊อต-กัลป์” เสริมด้วยน้ำเสียงแห่งความมั่นใจตามสไตล์คนรุ่นใหม่ว่า ตั้งแต่จำความได้ คุณแม่เลี้ยงลูกแบบค่อนข้างปล่อย ปล่อยในที่นี้หมายถึงให้เลือกในสิ่งที่ชอบ ให้ได้เรียนในสิ่งที่โอเค ขณะเดียวกันทั้งคุณแม่และคุณพ่อคอยทำหน้าที่ในการซัพพอร์ตอยู่เสมอ เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ตรงที่คุณแม่ไม่ได้บังคับมากมาย ทำให้เราเกิดความเกรงใจขึ้นมาเอง ซึ่งมองว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของเด็กยุคนี้ ที่อาจมีติดโซเชียลมีเดีย จนทำให้ความใกล้ชิดกับคนในครอบครัวน้อยลง แล้วความเกรงใจที่ควรมีต่อกันก็พลอยน้อยลงไปด้วย

ส่วนของการทำงาน ในฐานะหัวเรือใหญ่ “ฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ กรุงศรี คอนซูมเมอร์” แน่นอนว่าจะต้องมีการวางแผนเพื่อให้งานสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่สำหรับ “ลูกชายโทน” ของครอบครัวศรีอรุณ “คุณแม่นักครีเอทีฟ” บอกว่า ไม่เคยต้องวางแผนใดๆ ให้ชีวิตลูกเลย เพราะต้องการปล่อยให้เขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง เพียงแต่สอนลูกว่า ทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุด ภายใต้ความนอบน้อมและความกตัญญู ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวพร้อมเดินหน้าให้การสนับสนุนเต็มที่

“เรื่องของลูก พี่และสามีไม่ได้วางแผนไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าลูกจะต้องทำอะไร เป็นอะไร แต่ให้เลือกเองทุกอย่าง ให้ลองผิดลองถูกไม่ว่าช่วงชีวิตไหน อย่างเรื่องการเรียนตั้งแต่ระดับประถม มัธยม มหาวิทยาลัยจะเรียนสายวิทย์ เรียนวิศวะ เรียนอินเตอร์ ปล่อยให้ได้เรียนในสิ่งที่ต้องการอยากจะเรียน เท่าที่เลือกมาเอง วิธีการเรียนของเขาก็ให้เลือกเองทุกอย่าง พ่อแม่ยินดีสนับสนุนถึงที่สุด รวมถึงการทำงาน การใช้ชีวิต เพียงแต่ให้ทำทุกวันเป็นวันที่ดีที่สุด ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าลูกต้องเป็นอะไร จนไปถึงอาชีพยูทูบเบอร์ของเขาในปัจจุบันนี้ ซึ่งก็มีบ้างที่ขอความคิดเห็นจากพ่อและแม่ โดยคุณพ่อใช้เหตุผลตรงๆ ส่วนแม่คอยให้เหตุผลอีกด้านหนึ่งที่เขาอาจนึกไม่ถึง ประหลาดๆ นิดหนึ่ง ตามสไตล์ที่เรียนครีเอทีฟมา เพื่อให้เขาชั่งน้ำหนักแล้วตัดสินใจเอง” คุณแม่สายซัพพอร์ตเล่าด้วยท่าทางแห่งความสุข

ไม่เฉพาะแค่คำปรึกษาหรือแรงสนับสนุนเท่านั้น ที่เป็นสายใยมัดความรักผูกความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกให้เหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียว แต่ทั้งคู่ยังใช้วันว่างทำกิจกรรมสุดโปรดอย่างการตระเวนหา “ของอร่อย” กินร่วมกัน เป็นการเสริมความผูกพันขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง “เราทั้งคู่เป็นสายกิน จึงสนุกกับการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ กับการกินอาหารอร่อย โดยเฉพาะผมกับคุณแม่ชอบดื่มกาแฟทั้งคู่ บางครั้งผมเป็นโต้โผบางทีก็เป็นคุณแม่ที่ชวนพากันไปหาร้านกาแฟเก๋ๆ อยู่เสมอ หรือเวลาที่ต้องออกไปซื้อของ ก็มักแวะหาร้านกาแฟที่ดูดีดูน่านั่งไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการใช้เวลาว่างของครอบครัวร่วมกัน แต่สำหรับช่วงนี้ที่ไม่สามารถออกไปหาของอร่อยกินนอกบ้านได้ ก็พร้อมใจอยู่บ้านทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ด้วยกัน” คู่แม่ลูกนักชิมประสานเสียงเล่าถึงกิจกรรมสุดโปรดด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข.

                                                                                                                                “ต้นรัก”