เมื่อวันที่ 8 เม.ย. พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูสวัสดิ์ จันทร์โรจนกิจ ผบก.สส.ภ.3 พ.ต.อ.สุคนธ์ ศรีอรุณ รอง ผบก.สส.ภ.3/หัวหน้าชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปราม อาชญากรรมตำรวจภูธรภาค 3 พร้อมเจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนฯ ร่วมกันแถลงข่าวผู้ต้องหา ก่อเหตุหลอกลวงฉ้อโกงประชาชนทางออนไลน์ ได้ผู้ต้องหารวม 6 รายประกอบด้วย 1.น.ส.สถาพร เรือนปานันท์ อายุ 35 ปี 2.นายสุทิน พลขันธ์ อายุ30 ปี 3.นายศรนรินทร์ อินทะรัตน์ อายุ 39 ปี 4.นายอาทิตย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 19 ปี 5.น.ส.สมาน คำงุ้น อายุ 40 ปี และ 6.นายพงศธร จรูญโรจน์ อายุ 23 ปี

สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุม กลุ่มมิจฉาชีพ ที่มีพฤติการณ์หลอกลวงใประชาชน โดยเฉพาะการหลอกลวง หรือฉ้อโกงประชาชน ผ่านช่องทางออนไลน์ อันเป็นการซ้ำเติมปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งกองกำกับสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก เกี่ยวกับการหลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ โดยการปลอมเป็นชาวต่างชาติ เพื่อหลอกเหยื่อหญิง ให้รักให้หลง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ จะใช้อุบายว่าจะส่งสิ่งของมีค่ามาให้ หรือติดปัญหาในการเดินทางที่จะมาพบกัน และให้เหยื่อโอนเงินไปเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นหญิงไทยอายุมาก หรือ บุคคลอื่นที่ต้องการมีสามีเป็นชาวต่างชาติ จึงทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก จึงทำการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด

สอบสวนเบื้องต้น น.ส.สถาพร ให้การรับสารภาพว่า ปัจจุบันไม่ได้ประกอบอาชีพใด มีรายได้จากการหลอกลวงผู้อื่น โดยเมื่อประมาณปี 2560 ได้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย และได้รู้จักกับชาวต่างชาติ ซึ่งจะเป็นผู้หลอกลวงผู้เสียหาย มีการสนธนาผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่วนตนเองมีหน้าที่จัดหาบัญชีในการโอนเงินและคนกดเงินออก เมื่อมีการโอนเงินเข้ามาแล้ว จะทำการถอนเงินออกทั้งหมด และโอนเงินต่อให้กับผู้ร่วมขบวนการซึ่งมีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ลักษณะเป็นกลุ่มแก๊ง โดยแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อให้ยากต่อการจับกุม ส่วนตนเองจะได้รับเงิน 10 เปอร์เซ็นต์จากเงินที่ผู้เสียหายที่โอนเข้ามา

ซึ่งจากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบว่ามีผู้เสียหายหลายร้อยราย ยังพบอีกว่ามีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความ และยังมีเครือข่ายที่ เกี่ยวข้องทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทำมาแล้วประมาณ 4 ปี มีลักษณะการแบ่งหน้าที่กันทำ มูลค่าความเสียหายมากกว่า 120 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดนำส่ง สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.