เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ร.ต.อ.สุวัฒน์ เชื่อเมือง รอง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านในควนอ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ได้รับแจ้งว่า นายสาโรจน์ เดชรัตน์ หรือ โรจน์ อายุ 38 ปี ผู้ต้องหา คดีบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุอันควร, มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) จำนวน 222 เม็ด เพื่อจำหน่ายและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้สายเชือกกางเกงกีฬาพันที่คอแล้วไปพันกับที่หัวแม่เท้าด้านขวา เสียชีวิตในห้องขัง เหตุเกิดเมื่อวานนี้ 12 เม.ย. เวลาประมาณ 14.40 น.


จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่า ตำรวจ สภ.บ้านในควน ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหา ไว้ที่ห้องควบคุม ของสภ.บ้านในควน ต่อมาได้เบิกตัวผู้ต้องหา เพื่อไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิ-19 ที่ รพ.ย่านตาขาวผลเป็นลบ จากนั้นนำตัวผู้ต้องหามายัง สภ. เมื่อจอดรถยนต์ และเปิดประตูรถเพื่อจะนำตัวตัวผู้ต้องหา ไปยังห้องควบคุม ผู้ต้องหาได้วิ่งหนีจากการควบคุม จึงวิ่งไล่ตามประมาณ 150 เมตร แล้วผู้ต้องหาได้ล้มลงกับพื้นถนนเป็นเหตุให้ผู้ต้องหาได้รับบาดเจ็บบริเวณคาง ใบหน้าไหล่ และขา แล้วก่อนจะจับกุมไว้ได้


จึงได้ประสานให้เจ้าหน้าที่รพ.สต.โพรงจระเข้ มาทำแผลให้ผู้ต้องหา เมื่อมาถึงห้องควบคุม จึงได้เรียกผู้ต้องหาซึ่งอยู่ในลักษณะนอนคว่ำ โดยได้เรียกอยู่หลายครั้ง เห็นผิดสังเกต จึงเดินเข้าไปดูพบว่า ผู้ต้องหาใช้สายเชือกกางกีฬาพันที่คอ แล้วไปพันกับที่หัวแม่เท้าด้านขวา เจ้าหน้าที่รพ.สต.ได้ตรวจสอบชีพจร และทำการช่วยชีวิต โดยการปั๊มหัวใจ ประมาณ 10 นาที และได้นำตัวผู้ต้องหาส่ง รพ.ย่านตาขาว ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาจากนั้น แพทย์เวร รพ.ย่านตาขาว พนักงานอัยการ ปลัดอำเภอร่วมชันสูตรพลิกศพผู้ต้องหา ส่วนศพผู้ต้องหา ได้มอบให้ญาติ นำไปฝั่งตามพิธีกรรมตามหลักศาสนาอิสลาโดยไม่ติดใจสาเหตุการตายของผู้ต้องหาแต่อย่างใด

ต่อมาวันนี้ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่สภ.บ้านในควน พบว่าห้องขังว่างเปล่า พบเพียงบันทึกจับกุมของผู้ต้องหาตกอยู่ 1 แผ่นโดยทาง พ.ต.ท.ธัญญะ ลัภบุญ สวญ. สภ.บ้านในควน ไม่ขอให้สัมภาษณ์ เพียงแค่ยืนยันว่าผู้ตายได้ผูกคอตัวเองเสียชีวิตจริง เวลาต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของผู้เสียชีวิตก่อนพบและได้พูดคุยกับญาติ โดย นายสถิต เดชรัตน์ อายุ 72 ปี พ่อผู้ตาย บุคลิกไม่ค่อยชอบพูด กล่าวเพียงสั้นๆว่าทางตำรวจแจ้งตนหลังจากที่ลูกชายอยู่ รพ.แล้ว ตนก็ไม่ได้รู้ว่าในห้องขังเป็นไง

ขณะ น.ส.วาสนา เดชรัตน์ หรือหน่า อายุ 41 ปี พี่สาวผู้ตาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า การที่ตำรวจอ้างว่าเป็นการผูกคอตาย ไม่ใช่เรื่องที่ญาติมมั่นใจแต่ทางญาติ ไม่ติดใจเอาความ ตนมั่นใจว่าน้องไม่ได้ผูกคอเสียชีวิต แต่เราและครอบครัวก็ไม่ได้ที่จะติดใจเอาความมากกว่าด้วยตัวของน้องเอง ที่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น

“ตนไปดูศพน้องชายด้วยตาตัวเองมีแผลทั้งตัว ที่แก้มขวา ไหล่ซ้าย ที่ศีรษะ คางฉีกเป็นแผลขาดยาว และแผลตรงบริเวณหน้าอก แผ่นหลังมีรอยช้ำ เลือดไหลออกทาง หู ตา จมูก และที่ศีรษะน้องชาย โดนอะไรก็ไม่ทราบ อยากถามว่าน้องชายตนผูกคอที่หัวเหรอ ที่น่าสงสัยคือบริเวณหลังศีรษะ มีรอยบุบคล้ายโดนของแข็ง กระแทก เลือดออกไม่หยุดดูย้อนแย้ง กับการผูกคอตาย ลักษณะศพลิ้นจุกปากแต่มีบาดแผล นั่นคือสิ่งที่กำลังสงสัย ที่ไม่ติดใจเอาความไม่ใช่ไม่กล้า เพราะรู้ว่าทุกอย่างย้อนแย้งกันหมด ตนไม่ใช่ไม่สู้คน เหมือนที่คนอื่นคิด ซึ่งไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ กับคนที่ต้องรับโทษรายอื่นๆ มีอีกกี่คนที่ต้องโดนกระทำแบบนี้รู้ว่าทำผิด มีทางอื่นอีกเยอะแยะ ทำไมไม่ทำ ส่งขังลืมไปเลยก็ได้แต่ทำแบบนี้บาปติดตัวใครก็ไม่รู้ให้ไปคิดเอาเอง”นางวาสนา กล่าว

นางวาสนา กล่าวว่า หลังจากจับกุมน้องชายตนก็ได้นำไปตรวจโควิด-19 ที่โรงพยาบาล จังหวะที่ลงจากท้ายรถกระบะ ก็ได้วิ่งหนีซึ่งตอนนั้นน้องถูกใส่กุญแจมืออยู่ใกล้หลัง ถามหน่อยว่าจะผูกคอตัวเองยังไง แค่นี้ไม่ใช่เราคิดไม่ออก เมื่อคืนที่ผ่านมาทุกคนในบ้านต่างก็นอนไม่หลับ ซึ่งก่อนฝังศพเมื่อเช้าก็ได้แต่คิดในใจบอกให้น้องไปสบาย และจี้ให้ทางตำรวจนำภาพจากกล้องวงจรปิดกว่า 4 ตัว มายืนยันหากน้องชายฆ่าตัวเองเสียชีวิตจริง