เชื่อว่าหลังจบครึ่งแรกของเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัด 2 ที่เอสตาดิโอ เดอ ลา เซรามิกา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สาวก “หงส์แดง” ทั้งโลกน่าจะอยู่ในอาการ “อกสั่นขวัญแขวน” ถึงขั้นปลุกพระกันเป็นแถว…

หลังจากแพ้มาก่อน 0-2 ในเกมแรก เกมนี้ อูไน เอเมรี เลือกที่จะสั่งให้ลูกทีมตบเกียร์ 5 กระทืบคันเร่งใส่ผู้มาเยือนทันที และหลังประตู 1-0 จากการแปจ่อ ๆ ของ บูลาย เดีย มาเร็วตั้งแต่นาทีที่ 3 บียาร์รีล ยิ่งคึก และยิ่งเร่งเครื่องบดใส่ ลิเวอร์พูล

บวกกับการที่ก่อนเกมฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้สภาพสนามเปียกและลื่น เกมของ “หงส์แดง” ยิ่งไปไม่เป็น จากสถิติการได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของเจ้าถิ่นแค่ 3 ครั้งในครึ่งแรก บ่งบอกสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งเจ้าถิ่นมาได้ประตูที่ 2 จากการโหม่งของ ฟรองซิส ค็อกเกอแล็ง ในช่วงท้ายครึ่งแรก ทำให้โมเมนตัมของเกมในครึ่งแรก เทไปทางพลพรรค “เรือดำน้ำสีเหลือง” แทบจะทั้งหมด

ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน 45 นาทีแรก ย่อมไม่แปลกที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล จะนั่งไม่ติดเก้าอี้ด้วยความกระวนกระวาย

ส่วนสำหรับแฟนบอลทั่วไปแล้ว เห็นสภาพ “หงส์แดง” ในครึ่งแรก บวกกับบรรยากาศของเกมและความคึกของนักเตะและแฟนบอลเจ้าถิ่น ลงมาครึ่งหลัง “ใครเห็นก็บอกว่าตาย…”

แต่ที่ไหนได้ กลับมาในช่วงครึ่งหลัง แค่ เจอร์เกน คลอปป์ หยิบ หลุยส์ ดิอาซ ลงมาเลื้อยทางฝั่งซ้ายแทน ดีโอโก โชตา คนเดียว รูปเกมเปลี่ยนไปในทันที บวกกับการที่นักเตะเจ้าถิ่นใช้พละกำลังไปเยอะในครึ่งแรก พอเกมครึ่งหลังผ่านไปราว 10 นาที พวกเขาดูจะช็อตไปดื้อ ๆ

เรียกว่าสำหรับ บียาร์รีล เกมนี้ ครึ่งแรกมาบู๊ยังกับดูหนัง “วิ่งสู้ฟัด” แต่พอเข้าครึ่งหลัง อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นหนังชีวิตสไตล์ “ตำนานรักดอกเหมย” หน้าตาเฉย…!!!

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญในเกมนี้ ย่อมหนีไม่พ้นประตูแรกของ “หงส์แดง” ในนาทีที่ 62 จากจังหวะที่ ฟาบินโญ ยิงผ่าน เคโรนิโม รูญี นายทวารเจ้าถิ่นที่หุบขาไม่ทันเข้าไป แถมเป็นการ “ลอดดาร์ก” ชนิดบอลแฉลบทั้ง 2 ขาของมือกาวก่อนทะลักตุงตาข่าย เรียกได้ว่าทุกอย่างเป๊ะ ทั้งทิศทางรวมถึงเหลี่ยมแคนนอน

ประตูนี้ถือว่ามาถูกที่ถูกเวลา และเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของ ฟาบินโญ ที่มีต่อทีมในฤดูกาลนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากเจ้าตัวจะคุมแดนกลางของทีมได้อย่างหนักแน่นและมั่นคงแล้ว การยิงประตูของดาวเตะแซมบ้าในซีซั่นนี้คือสิ่งที่เป็นตัวช่วยเพิ่มเติม หลังจาก 3 ซีซั่นก่อนหน้านี้ เจ้าตัวยิงไปแค่ 3 ประตูจาก 122 นัด แต่ซีซั่นนี้ ประตูในเกมนี้เป็นลูกที่ 8 เข้าให้แล้วจากการลงเล่น 45 เกมในทุกรายการ

และพอ หลุยส์ ดิอาซ หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปโหม่งลอดขา รูญี (อีกแล้ว) ให้ทีมตีเสมอเป็น 2-2 ทุกอย่างแทบจะจบอย่างไม่เป็นทางการ เพราะนักเตะเจ้าถิ่นที่ช็อตอยู่แล้วยิ่งเหี่ยวหนักเข้าไปใหญ่ ขณะที่ประตูที่ 3 จากการหลุดเดี่ยวเข้าไปส่องตาข่ายโล่ง ๆ ของ ซาดิโอ มาเน ถือเป็นโบนัส

สกอร์รวม 2 นัด 5-2 ดูเหมือนจะเป็นสกอร์ที่ขาดลอย แต่ดูเนื้อในของทั้ง 2 เกม ต้องชื่นชม อูไน เอเมรี และลูกทีม ที่สร้างความลำบากใจให้กับทีมที่กำลังฟอร์มแรงอย่าง ลิเวอร์พูล ได้ไม่น้อย การที่ทีมไซส์กะทัดรัดอย่าง บียาร์รีล น็อคยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส และ บาเยิร์น มาได้ และมาแพ้ ลิเวอร์พูล แบบสู้ยิบตา ก็น่าปรบมือให้อย่างที่สุดแล้ว

และสำหรับ “หงส์แดง” พวกเขากำลังจะกรีธาทัพไปยังกรุงปารีส เพื่อทำศึกรอบชิงชนะเลิศที่สต๊าด เดอ ฟรองซ์ ในวันที่ 28 พ.ค. นี้ และนั่นหมายความว่าพวกเขายังอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ และยิ่งขยับใกล้เข้าไปอีก 1 ก้าวด้วย

ซึ่งนาทีนี้ ลิเวอร์พูล ถือเป็นทีมจากลีกผู้ดีที่ยังได้ลุ้น 4 แชมป์ยาวนานที่สุด หลังจากสถิติก่อนหน้านี้เป็นของ เชลซี ในฤดูกาล 2006-07 ที่หมดลุ้น 4 แชมป์ในวันที่ 1 พ.ค.

หลังได้แชมป์ คาราบาว คัพ ไปแล้ว และได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมถึงการที่พวกเขายังเบียดแย่งแชมป์ลีกกับ แมนฯ ซิตี ชนิดหายใจรดต้นคอ นั่นหมายความว่าหากต้องการสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 แชมป์ ทุกเกมที่เหลือจากนี้ไปคือเกมรอบชิงชนะเลิศสำหรับเจอร์เกน คลอปป์ และลูกทีม

ไล่ตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้วันที่ 7 พ.ค. เกมลีกนัดเปิดบ้านรับมือ ทอตแนม ฮอตสเปอร์ ต่อด้วย 10 พ.ค. เกมลีกเยือน แอสตัน วิลลา 14 พ.ค. รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ เชลซี 17 พ.ค. เกมลีกเยือน เซาแธมป์ตัน 22 พ.ค. เกมลีกนัดปิดซีซั่นในบ้านกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์ส ปิดท้ายด้วย 28 พ.ค. นัดชิงดำ แชมเปี้ยนส์ ลีก

เป็น 6 เกมที่ ลิเวอร์พูล จะพลาดไม่ได้แม้แต่นัดเดียว…

/////////////////////////////

สถิติที่น่าสนใจหลังเกม บียาร์รีล – ลิเวอร์พูล

  • ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมแรกจากอังกฤษ ที่เข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทั้งลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ในฤดูกาลเดียวกัน
  • ลิเวอร์พูล เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 10 โดยถือเป็นทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ที่เข้าชิงชนะเลิศถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป 10 ครั้งขึ้นไป (รีล มาดริด 16 ครั้ง, บาเยิร์น มิวนิก 11 ครั้ง และ เอซี มิลาน 11 ครั้ง)
  • เจอร์เกน คลอปป์ พาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 4 เป็นสถิติมากสุดเทียบเท่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, คาร์โล อันเชล็อตติ และ มาร์เซลโล ลิปปี
  • ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ยิงไปแล้ว 139 ประตูจาก 57 เกมในทุกรายการ เป็นสถิติยิงประตูใน 1 ฤดูกาลมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
  • เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทำแอสซิสต์เป็นครั้งที่ 18 ในทุกรายการซีซั่นนี้ มากสุดเป็นอันดับ 3 ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป รองจาก โธมัส มุลเลอร์ (21 ครั้ง) และ คีลิยัน เอ็มบัปเป (19 ครั้ง)
  • ซาดิโอ มาเน ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ในรอบน็อคเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นลูกที่ 15 เป็นสถิตินักเตะของทีมจากอังกฤษที่ยิงในรอบน็อคเอาต์ถ้วยนี้มากสุดเท่ากับ แฟรงค์ แลมพาร์ด