ในชีวิตจริง หลายคนเลือกที่จะปล่อยมือแล้วก้มหน้ารับชะตากรรม เมื่อสิ่งที่หวังทำท่าจะหลุดลอย แต่หลายคนเลือกที่จะสู้จนหยดสุดท้าย จนกว่าความหวังจะเป็นศูนย์แล้วจริง ๆ

เมื่อคุณต้องเจอกับเหตุการณ์อะไรทำนองนี้ ก็อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกยอมรับชะตากรรม หรือสู้ ซึ่ง เจอร์เกน คลอปป์ และลูกทีม เลือกอย่างหลัง…!!!

เกมลีกนัดเยือน แอสตัน วิลลา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คลอปป์ นำทัพลงสนามด้วยความหวังที่จะเก็บ 3 แต้มเพื่อทาบ แมนเชสเตอร์ ซิตี เอาไว้ก่อน ก่อนที่ “เรือใบสีฟ้า” จะไปเยือน “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในวันพุธ โดยที่กุนซือชาวเยอรมัน เลือกที่จะเปลี่ยน 11 ตัวจริงจากเกมเจ๊า ทอตแนม ฮอตสเปอร์ เมื่อวันเสาร์ถึง 5 ตำแหน่ง

โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์ ที่เขาเลือกพัก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ติอาโก อัลคันทารา แล้วใช้ นาบี เกอิตา กับ เคอร์ติส โจนส์ ลงมาเล่นกับ ฟาบินโญ ส่วนแบ๊กซ้ายพัก แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ใช้ คอสตาส ซิมิคาส ลงเล่น ขณะที่แนวรุกก็พัก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ส่ง ดีโอโก โชตา ลงมาประสานงานกับ หลุยส์ ดิอาซ และ ซาดิโอ มาเน

แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ คลอปป์ คงอยากให้ 11 ตัวหลักลงสนามมันทุกนัด แต่ด้วยสภาพการกรำศึกมาต่อเนื่อง บวกกับการที่พวกเขามีเกม เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศกับ เชลซี รออยู่ในวันเสาร์นี้ บางทีมันก็จำเป็นที่จะต้องโรเตชัน ซึ่งนายใหญ่ “หงส์แดง” ก็เลือกทีมที่เขาคิดว่า “ดีพอ” ที่จะเอาชนะได้ แม้สถานการณ์มันจะกดดันชนิด “แพ้ไม่ได้ เสมอก็ไม่ดี” ก็ตาม

แต่พอเปิดเกมมาได้ไม่ถึง 3 นาที ลิเวอร์พูล ก็มาเสียประตูจากการบุกแทบจะครั้งแรกของเจ้าถิ่นเลยก็ว่าได้ เมื่อทั้ง ซิมิคาส ทั้ง โฌแอล มาทิป ต่างล้มระเนระนาดอยู่หน้าประตู ทำให้ ดักลาส ลุยว์ ได้โหม่งติดเซฟ อลิสซอน แล้วตามซ้ำตุงตาข่าย

นาทีนั้น แฟนหงส์ทั้งโลกร้องเป็นคำเดียวกันว่า “งานเข้า…!!!”

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพระเจ้าจะยังเข้าข้าง “หงส์แดง” ทำให้พวกเขาตีเสมอได้อย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ ไทโรน มิงส์ สกัดไม่ดี บอลขลุกขลิกในเขตโทษ ก่อนที่จังหวะสุดท้ายเป็น มาทิป ที่แก้ตัวซ้ำจ่อ ๆ เข้าไป ซึ่งทำให้ “หงส์แดง” ปลดความกดดันได้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม เกมในครึ่งแรกดูเหมือน “หงส์แดง” จะยังตุปัดตุเป๋ อลิสซอน เองก็มีช็อตเฟอะฟะเตะสกัดไปชน โอลลี วัตกินส์ เกือบเป็นเรื่อง และที่สำคัญคือการที่ ฟาบินโญ มาเจ็บแฮมสตริงจนต้องถูกเปลี่ยนออก ซึ่งทำเอาเกมแดนกลางอ่อนไปไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา ดาวเตะบราซิเลียนคือ “แกน” ในแดนกลางของทีมอย่างแท้จริง ทั้งการคุมจังหวะอย่างหนักแน่นและมั่นคง อีกทั้งยังช่วยเกมรับ ลงไปซ้อนแบ๊กในจังหวะเติมเกมอยู่บ่อย ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ขึ้นปี 2022 เป็นต้นมา ฟาบินโญ ไม่ได้ลงเป็น 11 ตัวจริงในลีกแค่ 3 นัด ขณะที่ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2022 นี้ เขาพลาดเกมเดียว นั่นคือเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัด 2 กับ เบนฟิกา ที่แอนฟิลด์ ซึ่งนั่นเป็นเกมเดียวในปีปฏิทินนี้ที่ “หงส์แดง” โดนยิงถึง 3 ประตู…!!!

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล สามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลายาก ๆ ไปได้ และเมื่อมี เฮนเดอร์สัน ลงมาแทน ฟาบินโญ ตั้งแต่ครึ่งแรก บวกกับมี ติอาโก ลงมาแทน เคอร์ติส โจนส์ ในครึ่งหลัง เกมก็เริ่มแน่นขึ้น จนกระทั่งมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ หลุยส์ ดิอาซ เปิดให้ มาเน ทิ้งตัวโขกแบบ “เดอะ เมทริกซ์” เข้าไปในนาทีที่ 65

และแม้หลังจากนั้น พวกนักเตะ “สิงห์ผงาด” ที่สู้ยิบตาไม่สนว่าจะเจอทีมเก่าของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ผู้เป็นเจ้านายนั้น จะมีโอกาสดับฝัน “หงส์แดง” หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ แดนนี อิงส์ หลุดเข้าไปยิงตุงตาข่าย แต่โดนริบเพราะล้ำหน้าแค่เส้นยาแดง แต่สุดท้าย ลูกทีมของ คลอปป์ ก็รอดตัวเก็บ 3 แต้มสำคัญได้

จากนี้ไป สิ่งที่ต้องลุ้นเป็นอันดับแรกคืออาการบาดเจ็บของ ฟาบินโญ ซึ่งแม้หลังเกม คลอปป์ จะบอกว่าไม่หนัก แต่โดยปกติอาการที่แฮมสตริงอย่างเขาก็ต้องมี 1-2 สัปดาห์ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น หมายความว่านัดชิง เอฟเอ คัพ อาจไม่มีเจ้าตัวลงสนาม และถ้าปะเหมาะเคราะห์ร้าย อาการรุนแรงพักยาวกว่าที่คิด รับรองว่า “งานเข้า” อย่างจังแน่ ๆ

กระนั้นก็ดี อย่างที่บอกไปตอนแรกนั่นแหละครับ แม้หนทางไปสู่สิ่งที่หวังจะยากลำบาก แถมยังมีปัญหาเพิ่มเติมระหว่างทาง แต่ถ้าสู้ มันก็ยังได้ลุ้นไปจนหยดสุดท้าย กลับกันหากไม่สู้มันก็จบตั้งแต่ตรงนี้เลย

และ เจอร์เกน คลอปป์ กับลูกทีม ยังคงต้องสู้ยิบตา เผื่อว่าโชคชะตาจะหันไปเล่นงาน “เรือใบสีฟ้า” ให้สะดุดขาตัวเองบ้าง…

//////////////////////

สถิติที่น่าสนใจหลังเกม แอสตัน วิลลา – ลิเวอร์พูล

  • ลิเวอร์พูล ยิงประตูในเกมลีกนัดเยือนฤดูกาลนี้ได้ 43 ลูกแล้ว ซึ่งเป็นสถิติยิงเกมลีกนัดเยือนใน 1 ซีซั่นมากสุดเป็นอันดับ 2 ของสโมสร โดยสถิติมากสุดคือซีซั่น 2013-14 ซึ่งพวกเขายิงในเกมเยือนไป 48 ลูก และฤดูกาลนั้นพวกเขาจบเป็นรองแชมป์ โดยที่แชมป์เป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี
  • ลิเวอร์พูล เก็บชัยชนะเหนือทีมครึ่งล่างของตารางได้เป็นเกมที่ 19 ของฤดูกาล ซึ่งเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีก ในการเอาชนะทีมครึ่งล่างของตารางได้มากสุดใน 1 ซีซั่น
  • ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่มีนักเตะยิงได้ถึง 15 ประตูในฤดูกาลเดียวได้ถึง 3 คน (ซาดิโอ มาเน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดีโอโก โชตา) โดยก่อนหน้านี้มีแค่ แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อฤดูกาล 2013-14 ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้ (ยายา ตูเร, เซร์คิโอ กุน อเกวโร, เอดิน เซโก)

เครดิตภาพ : REUTERS