การลงแข่งขันกีฬา แล้วได้แชมป์ ย่อมนำมาซึ่งความปลาบปลื้มระคนดีใจ ยิ่งถ้าเป็นการได้แชมป์นั้น ๆ เป็นครั้งแรก มักจะเมีความพิเศษและเป็นที่จดจำเสมอ

สำหรับ เจอร์เกน คลอปป์ และลิเวอร์พูล ก็น่าจะมีความรู้สึกไม่ต่างจากนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ “หงส์แดง” เคยได้แชมป์ เอฟเอ คัพ มาแล้ว 7 สมัย ซึ่งตัวเลข 7 สมัย มันไม่ใช่น้อย ๆ เมื่อเทียบกับหลาย ๆ ทีมที่แม้แต่เข้าชิงก็ยังไม่เคย

แต่ว่าในยุคนับตั้งแต่ที่ เจอร์เกน คลอปป์ ก้าวเข้ามาสร้างอาณาจักร “หงส์แดง” นี่คือถ้วยเดียวที่เขายังไม่เคยได้…

เกมรอบชิงชนะเลิศกับ เชลซี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คือการพา “หงส์แดง” เข้าชิงชนะเลิศในถ้วยใบที่เก่าแก่ที่สุดในโลกใบนี้เป็นครั้งแรกของ เจอร์เกน คลอปป์ และเป็นวาระโอกาสที่ถ้วยใบนี้ฉลองครบรอบ 150 ปีพอดิบพอดี ดังนั้นการคว้าแชมป์ครั้งแรกในโอกาสอันพิเศษเยี่ยมนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่กุนซือชาวเยอรมัน และนักเตะทุกคนปรารถนา

ยิ่งเป็นโอกาสที่ “หงส์แดง” ยังอยู่ในเส้นทางลุ้น 4 แชมป์ (แม้พรีเมียร์ลีก จะยากแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดโอกาสเสียทีเดียว) ดังนั้นนี่คือเกมที่มีความสำคัญสุด ๆ สำหรับ “เดอะ ค็อป” ทุกหมู่เหล่า

และการที่คู่แข่งเป็น “สิงห์สำอาง” เชลซี ที่ในยุคนี้คือหนึ่งในทีมที่ขับเคี่ยวกันมาแบบสนุกสูสีมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่งดวลกันมาในเกม คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในเกมที่ได้รับการยกย่องว่าเปี่ยมด้วยคุณภาพที่สุดเกมหนึ่งในซีซั่นนี้ เกมนี้จึงเป็นเกมที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง

การขาดหายไปของ ฟาบินโญ อาจสร้างความกังวลให้แฟนบอล ลิเวอร์พูล ส่วนใหญ่ แต่การมี ติอาโก อัลคันทารา ซึ่งคราวที่แล้วพลาดการลงเล่นที่เวมบลีย์ในเกม คาราบาว คัพ รอบชิง เพราะเจ็บตอนวอร์ม ประสานงานกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน แล้วมี นาบี เกอิตา ลงมา อาจไม่เนี๊ยบเท่ามี “หมอปลา” อยู่ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมาก ส่วนขุมกำลังอื่น ๆ ถือว่าเต็มสูบ

ส่วน เชลซี นั้น ไม่มี ไค ฮาร์แวร์ตซ์ ที่เจ็บ โรเมลู ลูกากู ที่ช่วงหลังเริ่มกลับมาคลำเป้าเจอ จึงได้โอกาสเป็นตัวจริง ขณะที่แดนกลาง พวกเขาได้ มาเตโอ โควาซิช ลงสนามหน้าตาเฉย ทั้งที่คาดกันว่าไม่น่าไหวหลังโดน แดเนียล เจมส์ เสียบโหดในเกมลีกสัปดาห์ก่อน และกลายเป็น เอ็นโกโล ก็องเต ที่ไม่เต็มร้อย และต้องไปนั่งสำรอง

เรื่องของรูปเกมนั้น ใครได้นั่งดูก็คงจะรู้สึกคล้าย ๆ กันว่าเหมือนนั่งดูเทปรีรันเกมคาราบาว คัพ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทั้ง 2 ทีม “ทันกัน” แดนกลางทำงานหนักในการชิงจังหวะ ชิงไหวชิงพริบ ลิเวอร์พูล มีโอกาสก่อน จากลูกที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จ่ายไซด์ก้อยให้ หลุยส์ ดิอาซ ลากไหปยิงติดเซฟ เอดูอาร์ เมนดี ขณะที่ เชลซี ก็มีโอกาสประหราย

แต่ในช่วงกลางครึ่งแรก อยู่ดี ๆ แฟนบอล “หงส์แดง” ก็ได้เห็นภาพที่ไม่มีใครอยากเห็น นั่นคืออยู่ดี ๆ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ทรุดลงไปนั่งโดยไม่ได้มีการปะทะใด ๆ กับใคร และสุดท้ายก็เล่นต่อไม่ไหวโดนเปลี่ยนออก…!!!

แม้ช่วงหลัง ซาลาห์ จะไม่ร้อนแรงเท่าเดิม แต่อย่างไรเสีย นี่คือเปลี่ยนเกมและทำบางอย่างเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะได้ทุกเมื่อ ดังนั้นมีเขาอยู่ย่อมดีกว่าไม่มี แต่เมื่อเล่นต่อไม่ไหว ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่ง ดีโอโก โชตา ลงมา แล้วว่ากันในเกมนี้ก่อน เรื่องอาการบาดเจ็บและความฟิตของดาวยิงทีมชาติอียิปต์ หลังจากนี้ซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สุดของฤดูกาลจะเป็นอย่างไรต่อค่อยไปลุ้นกันอีกที

มาถึงครึ่งหลัง รูปเกมยังคงดวลกันอย่างถึงพริกถึงขิง และดูเหมือน โธมัส ทูเคิล จะปรับแทคติกกดดันใส่ ลิเวอร์พูล อย่างเข้มข้นกว่าครึ่งแรก ทำเอาในช่วงต้นครึ่งหลัง ลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ไปไม่ค่อยเป็น กว่าจะตั้งลำได้ก็น่าจะล่วงเลยไปราว 15 นาที แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงท้าย ก็เป็น ลิเวอร์พูล ที่กลับมาครองเกมกดดันได้ดีกว่าอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่ ดิอาซ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ยิงชนเสาซ้ายขวาไปคนละทีในช่วงเวลาห่างกันไม่ถึง 2 นาที แต่สุดท้ายก็ไม่มีประตู ต้องดวลกันในช่วงต่อเวลาอีกแล้ว

ก่อนที่ช่วงต่อเวลาจะเริ่ม อีกหนึ่งภาพที่แฟน “หงส์แดง” ไม่อยากเห็น คือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ถูกถอดออกเพราะเจ็บ ส่ง โฌแอล มาทิป ลงมาแทน เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ต้องเสียตัวหลักจากอาการบาดเจ็บถึง 2 คน ขณะที่รูปเกมในช่วงต่อเวลานั้นเต็มไปด้วยความอึดอัด ต่างฝ่ายต่างไม่อยากพลาด และสุดท้ายก็ลากไปถึงการดวลจุดโทษ เหมือนเกมนัดชิง คาราบาว คัพ เป๊ะ

ที่ต่างกันคือคราวนี้ ทูเคิล ไม่ได้ส่ง เกปา อาร์ริซาบาลากา ลงมาเซฟจุดโทษโดยเฉพาะเหมือนนัดชิง คาราบาว คัพ ซึ่งอันที่จริงแล้ว ลิเวอร์พูล น่าจะปิดบัญชีได้ตั้งแต่ 5 คนแรก เมื่อ ซาดิโอ มาเน ได้ยิงเป็นคนสุดท้าย ถ้าเข้าก็ชนะเลย แต่เจ้าตัวดันยิงไปติดเซฟ เอดูอาร์ เมนดี เพื่อนร่วมทีมชาติเซเนกัล ทำให้ต้องยิงกันต่อแบบซัดเดน เดธ

คาราบาว คัพ นัดชิง ทั้งคู่ยิงกันจนถึงคนที่ 11 นั่นคือเอานายทวารมายิง และเป็น เกปา ที่ยิงไม่เข้าทำให้ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ แต่คราวนี้จบแค่การยิงคนที่ 7 เมื่อ เมสัน เมาท์ ยิงไม่เข้า แต่ คอสตาส ซิมิคาส ยิงไม่เหลือซาก…!!!

ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 8 และเป็นแชมป์ถ้วยนี้ครั้งแรกของ คลอปป์ หลังเขาพาทีมกวาดแชมป์อื่น ๆ มาแล้วเกือบครบทุถถ้วยที่ลงเตะ (ยกเว้น ยูโรป้า ลีก) และนี่คืออีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ “หงส์แดง” เพราะนี่เท่ากับว่าความฝัน 4 แชมป์ของพวกเขาสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง…

จากนี้ไปเหลือพรีเมียร์ลีก อีก 2 นัด กับนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมเป็น 3 นัด ก็จะชี้ขาดแล้ว เรื่องของ ซาลาห์ กับ ฟาน ไดค์ นั้น คลอปป์ บอกว่าไม่ได้เจ็บหนักหนา แต่อาจจะไม่ได้เล่นในเกมลีกกับ เซาแธมป์ตัน ในวันอังคารนี้ ซึ่งการขาดกำลังหลักไปแม้แต่เกมไหนก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น

แต่ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ลิเวอร์พูล ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากเดินหน้าเต็มตัว เพื่อ 2 แชมป์ที่เหลือ ณ นาทีนี้ แม้โอกาสลุ้น 4 แชมป์จะยาก แต่ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วเสียที่ไหน คลอปป์ กับลูกทีมของเขาต้องเดินหน้าทำภารกิจไปอย่างเต็มกำลังด้วยความมุ่งมั่น

ก่อนอื่นคือต้องช่วยกันแช่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี ในเกมเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คืนวันเอาทิตย์นี้ก่อนเลย…