ก่อนเปิดฤดูกาล ไปถามแฟนบอล สเปอร์ส ว่า หวังจะได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือไม่ ?

ส่วนใหญ่ น่าจะตอบว่า “ไม่”

หลังจากช่วงเวลายากลำบาก ต้องตรากตรำหากุนซือคนใหม่อยู่นานสองนาน สเปอร์ส ได้มาแค่กุนซือเกรด B อย่าง นูโน เอสปิริโต ซานโต

ก่อนหน้านั้น พวกเขามีข่าวกับยอดโค้ชระดับตัวท็อปมากมาย รวมถึงคนเก่าอย่าง เมาริซิโอ โปเชตติโน และ อันโตนิโอ คอนเต แต่ก็พลาดไปหมด

จนแฟนไก่หลายคนได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับทีม ทำไม ไม่มีใครอยากมาคุม

แต่เอาละ นูโน ก็ นูโน ไม่แน่อาจจะดีก็ได้ เพราะคนที่เลือกมากับมือคือผู้อำนวยการฟุตบอลคนใหม่ (ที่ว่ากันว่า) มือทองสมองเพชร ที่ชื่อ ฟาบิโอ ปาราติชี

ช่วงแรก เหมือนจะดีจริง เพราะอดีตโค้ช วูล์ฟส์ พา สเปอร์ส ชนะในลีก 3 เกมติดต่อกัน ขึ้นไปเกาะกลุ่มนำได้อย่างเกินความคาดหมาย

ถึงแม้ว่าฟอร์มโดยรวมจะไม่ดีนัก และชนะด้วยสกอร์ 1-0 ทั้ง 3 นัดก็ตาม

แต่หลังจากนั้น โป๊ะก็แตก เมื่อ นูโน พาทีมแพ้ 3 เกมรวด รวมถึงแพ้ เชลซี และ อาร์เซนอล แบบสู้ไม่ได้

ถึง 2 เกมต่อมา เขาจะพาทีมกลับมาชนะ แต่ฟอร์มก็ยังไม่น่าประทับใจอยู่ดี

ก่อนที่ทุกอย่างจะจบอย่างเป็นทางการ หลังเกมที่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด คาบ้าน 0-3

นูโน โดนไล่ออก ด้วยสถิติคุม สเปอร์ส ในลีก 10 นัด ชนะ 5 แพ้ 5 ไม่มีเสมอ

มารอบนี้ บอร์ดบริหารทำงานไว (ราวกับเตรียมตัวมาก่อน) เมื่อประกาศแต่งตั้ง อันโตนิโอ คอนเต เข้ามาคุมทีมแทนทันที

มันก็คือ “จุดเปลี่ยน” ในฤดูกาลนี้ของ สเปอร์ส อย่างแท้จริง

ถึงการคุมทีมลงเล่นในฟุตบอลถ้วยจะไม่ดีนัก ทั้งตกรอบ 5 เอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้ มิดเดิลสโบรห์ 0-1

ตกรอบรองชนะเลิศคาราบาว คัพ ด้วยการแพ้ เชลซี แบบสู้ไม่ได้ แพ้ทั้งในบ้าน-นอกบ้าน สกอร์รวม 0-3

รวมถึงตกรอบคอนเฟอเรนซ์ ลีก แบบงงๆ ด้วยข้อหา “ไม่มีคิวเตะ” จนถูกปรับแพ้

แต่ผลงานในลีกช่วงแรกถือว่าดูดีทีเดียว และไม่แพ้ใครถึง 9 เกม โดยชนะ 6 และเสมอ 3 เกม (รวมถึงเกมเสมอ ลิเวอร์พูล 2-2)

ทำให้อันดับในตารางของ สเปอร์ส เริ่มกระเตื้องขึ้นมาเกาะกลุ่มมีลุ้นไปบอลยุโรปกับเขาบ้าง

ที่สำคัญคือ ช่วงนี้ คือช่วงตลาดนักเตะรอบ 2 ซึ่งหลังมีข่าวพัวพันกับนักเตะนับสิบ สุดท้าย สเปอร์ส ได้นักเตะใหม่มา 2 คน

คือ เดยัน คูลูเซฟสกี และ โรดริโก เบนตานกูร์ 2 ดาวรุ่งที่เหมือนจะแจ้งเกิดไม่สำเร็จกับ ยูเวนตุส

พร้อมปล่อยรวดเดียว 4 คน คือ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล, ไบรอัน กิล, โจวานนี โลเซลโซ และ เดลี อัลลี

3 รายแรก ปล่อยยืมตัว และ อัลลี ปล่อยฟรีให้ เอฟเวอร์ตัน แต่จะได้ค่าตัวตามอ็อปชั่นที่กำหนด

ตอนแรก ดูเหมือนจะเป็นตลาดที่ล้มเหลว เพราะได้ใหม่ก็น้อย แถมยังมีเครื่องหมายคำถามอันใหญ่ติดตัว แฟนบอลยูเวบางคนบอกว่า ดีแล้วด้วยซ้ำที่ปล่อยออกจากทีมไปได้

แต่คนที่ไม่เคยสงสัยก็คือ คอนเต เขาก็ส่งทั้ง “เบนเทน” และ “คูลู” ลงสนามอย่างต่อเนื่องในฐานะ “ตัวหลัก” ทันทีทันควัน

นั่นก็คือ “จุดเปลี่ยน” สำคัญอีกครั้ง

เพราะทั้งคู่แทบจะไม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อย่างไหลลื่น ราวกับเล่นด้วยกันมานาน

คูลูเซฟสกี ตอนแรกดูอืดๆ แต่พอร่างกายดีขึ้น ก็ทั้งยิงทั้งจ่าย จนกลายเป็นคนที่ขาดไม่ได้ และทำให้ ลูคัส มูรา ต้องนั่งสำรองแบบถาวร

ส่วน เบนตานกูร์ คือคนที่ สเปอร์ส ตามหามานาน นับตั้งแต่เสีย มุสซา เดมเบเล

ถึงอายุน้อย แต่คุมเกมแดนกลางได้อย่างแนบเนียน แถมขยัน วิ่งไม่มีหมด และยังมีคิลเลอร์พาสสวยๆให้เห็นอยู่ตลอด

ไม่ผิดนัก ถ้าหากจะบอกว่า ถ้าหากไม่ได้ 2 คนนี้มา สเปอร์ส ไม่มีทางมาถึงจุดนี้

แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องดีไปเสียหมด เพราะหลังไม่แพ้ในลีก 9 เกม หลังจากนั้น สเปอร์ส แพ้ 4 จาก 5 เกม !

อะไรๆที่ว่าหวาน ก็ชักจะขม

แถมมีการปล่อยข่าวจากผู้ไม่หวังดีว่า คอนเต ไม่แฮปปี้กับบอร์ดบริหาร ที่เสริมทัพให้ไม่ถึงใจ เลยจะลาออกไปคุม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง พร้อมสลับเอา โปเชตติโน กลับมาคุม สเปอร์ส อีกครั้ง

ทุกอย่างอึมครึม สถานการณ์ภายในทีมเปลี่ยนไปชัดเจน คอนเต เอง ก็สัมภาษณ์แบบตรงไปตรงมาบ่อยๆว่าเขาต้องการการสนับสนุนมากกว่านี้ ถ้าหากไม่ได้ ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากจะเสีย คอนเต หรือเปล่า แต่หลังจากนั้น สเปอร์ส กลับมาดีขึ้นผิดหูผิดตา พลิกชนะ แมนฯ ซิตี 3-2 และเข้าเบรกชนะ 7 จาก 10 เกมต่อจากนั้น โดยแพ้แค่ 3 เกม

ถึงกระนั้น สถานการณ์คล้ายจะพลิกผันอีกรอบ เมื่ออยู่ดีๆพวกเขาก็แพ้ ไบรท์ตัน คาบ้าน 0-1 ตามด้วยเสมอ เบรนท์ฟอร์ด 0-0

จากที่เคยอยู่ที่ 4 แบบสบายๆ กลับถูก อาร์เซนอล แซงกลับขึ้นไปเสียแล้ว

ถึงตอนนั้น ต้องยอมรับว่า โอกาสของทีมคู่แค้นร่วมลอนดอนดีกว่ามาก จนดูเหมือนจะหมดหวังไปแล้ว

แถมเมื่อเหลือบดูโปรแกรม 3 นัดต่อไป คือการเจอกับ เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซนอล !

ภาษาฝรั่งเรียก Do or Die ทำไม่ได้ก็ตายไป (ซะ) เลย

แต่พวกเขาก็ทำได้ เมื่อชนะ เลสเตอร์ 3-1 ต่อด้วยบุกเสมอ ลิเวอร์พูล 1-1 และสำคัญที่สุดคือชนะ อาร์เซนอล ในเกมตกค้าง 3-0

ทำให้ทำแต้มจี้ปืนใหญ่เหลือแต้มเดียว แต่โอกาสเปิดกว้าง เพราะ 2 เกมสุดท้ายเจองานไม่หนัก ขณะที่ อาร์เซนอล ต้องเยือน นิวคาสเซิล ที่แกร่งในบ้าน

แล้ว อาร์เซนอล ก็บุกไปแพ้จริงๆ ขณะที่ สเปอร์ส เฉือน เบิร์นลีย์ (ที่พวกเขาแพ้ในเกมแรก) ทำให้สถานการณ์กลับขึ้นมานำ 2 แต้ม ก่อนเกมส่งท้ายไปเยือน นอริช ที่ตกชั้นไปแล้ว ขอเพียงไม่แพ้ก็จะได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก

สุดท้าย ซน ฮึง มิน ก็ปิดจ๊อบหวานๆ ด้วยการทำ 2 ลูก พาทีมชนะ 5-0 คว้าอันดับ 4 พร้อมกับตัวเองได้ดาวซัลโวร่วมกับ โม ซาลาห์ ที่ 23 ประตู

สำหรับแฟนบอล สเปอร์ส นี่จึงเป็นฤดูกาลที่เหมือน “รถไฟเหาะตีลังกา” ขึ้นสุด ลงสุด ม้วนหน้า ม้วนหลัง สมหวัง ผิดหวัง สลับกันไปมา จนแทบจะเป็นไบโพลาร์

ก่อนที่ท้ายสุดจะสุดสมหวังแบบไม่ได้คาดหวังสักเท่าไหร่

แต่ที่ผ่านมาทั้งหมด บอกได้เลยว่า เป็นแค่ “ออร์เดิร์ฟ” นรกของจริงรออยู่ฤดูกาลหน้า !

การได้ไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก แน่นอน ย่อมส่งผลดี แต่อีกมุมก็อาจส่งผลเสีย

ถ้าหากไม่เตรียมทีมให้ดี มีทรัพยากรที่พร้อม และมีฟอร์มที่คงเส้นคงวาจริงๆ จากสวรรคค์อาจกลายเป็นนรกได้ง่ายๆ

เกิดจับผลัดจับผลู ตกรอบแบ่งกลุ่ม แผนที่วางไว้ไม่เป็นไปตามเป้า เงินที่คาดว่าจะเข้ากระเป๋ากลายเป็นออก การทุ่มคว้านักเตะใหม่แพงๆ จ่ายค่าเหนื่อยแพงๆ อาจทำให้สโมสรขาดสภาพคล่อง

ทั้งหมดคืองานหนักที่รอ คอนเต และ บอร์ดบริหาร อยู่

ถ้าไม่สมดุลย์ให้ดี ซื้อเข้า และปล่อยออกให้เหมาะสม ถ้าได้ตัวใหม่ไม่ดี เข้ามาแล้วไม่เวิร์ค ถ้าหากบริหารจัดการไม่ดี คิดถึงตัวเลขในบัญชีงบดุลย์มากไปหรือคิดน้อยไป

สเปอร์ส อาจถูกดึงมาอยู่ในจุดเดิมเร็วเกินคาด แล้วหลังจากนั้นก็ไม่อยากจะคาดเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

นี่จึงเป็นซัมเมอร์ชี้เป็นชี้ตาย จะก้าวผ่านขึ้นไปเป็นทีมระดับท็อป หรือจะยังเป็นแค่ทีมที่ได้แค่ “เกือบ” อยู่วันยังค่ำ ช่างน่าสนใจจริงๆ !

กัปตันเจมี