หลังจากประสบความสำเร็จกับแฟรนไชส์ไดโนเสาร์ตั้งแต่ Jurassic Park (3 ภาค) และ Jurassic World (2 ภาค) ก็มาสู่เรื่องราวของโลกที่มีไดโนเสาร์อาศัยอยู่กับมนุษย์เสียที แต่ก่อนจะเข้าเรื่องราวของสมัยปัจจุบันนั้น ขออนุญาตย้อนรอยมหากาพย์ภาพยนตร์ ทั้ง 5 ภาค เพื่อไว้เป็นข้อมูลก่อนไปชมภาพยนตร์ภาคสุดท้ายเสียก่อน

โดยในปี 1993 พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ได้เผยโฉมภาพยนตร์ที่พลิกวงการหนังไปตลอดกาล เมื่อเขานำเอา Jurassic Park มาจัดฉายในโรงภาพยนตร์ จนกวาดรายได้ไปมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 63 ล้านดอลลาร์ และยังสร้างรายได้จากมูลค่าสินค้าอื่น ๆ อีกกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ เนื้อหาของภาคแรก เป็นการเล่าเรื่องราวของ ดร.อลัน แกรนต์ (รับบทโดย แซมนีล), ดร.เอลลี แซตเลอร์ (รับบทโดย ลอร่า เดิร์น) และ ดร.อลัน มัลคอม (รับบทโดย เจฟฟ์ โกลด์บลุม) ที่ถูกเชิญไปชมสวนสนุกไดโนเสาร์ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง

โดยไดโนเสาร์เหล่านี้ถูกนำเอาดีเอ็นเอที่ได้จากมากฟอสซิล “ยุง” ในสมัยดึกดําบรรพ์ หลังจากมันโดนยางไม้เคลือบตัวเอาไว้ เหล่านักวิจัยเพาะพันธุ์ไดโนเสาร์โดยนำเอาดีเอ็นเอของกบชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถในการสืบพันธ์ุแบบไม่ต้องใช้เพศ คือเป็นตัวเมียก็สามารถออกไข่ฟักมาเป็นตัวกบได้เลย นั่นจึงทำให้ไดโนเสาร์ทั้งหมดกลายเป็นตัวเมีย แต่เรื่องราวไม่จบเพียงแต่นี้ เมื่อหนึ่งในทีมงานที่ดูแลระบบคอมพ์และความปลอดภัย พยายามขโมยผลงานวิจัยไปขายให้แก่บริษัทเอกชน ด้วยการทำให้ไฟดับทั้งเกาะเพื่อตัวเองจะหลบหนี ทำให้ไดโนเสาร์สายพันธุ์กินเนื้อที่เป็นอันตราย อย่าง “ไทแรนโนซอรัส” และ “วิลอซิแรปเตอร์” หลุดออกมาจากกรงที่ควบคุม ผู้คนที่อยู่บนเกาะต้องหนีตายออกมา

แม้เรื่องราวภาคแรกจะจบลงที่กลุ่มตัวเอกจะรอดพ้นจากคมเขี้ยวมาได้ แต่หนังก็ยังสานต่อจนมีภาค 2 นั่นก็คือ Jurassic Park 2 The Lost World โดยโยงเรื่องราวทำนองว่า มีความต้องการจากนายทุน ที่พยายามจะเปิดสวนสัตว์ไดโนเสาร์บนแผ่นดินใหญ่ (กลางเมืองซานดิเอโก) ก่อนจะให้เหล่านักล่าไปจับเอาไดโนเสาบนเกาะ อิสลา ซอร์น่า (Isla Sorna) หรือเรียกกันว่า Site B แต่แผนกลับล้มเหลวเพราะ ไทแรนโนซอรัส หลุดกรง ป่วนเมืองกันไปตาม ๆ กัน ขณะที่ภาค 3 เป็นการเข้าไปช่วยเหลือเด็กชาย ที่ประสบภัยเครื่องบินตกในเกาะ “อิสลา ซอร์น่า” ให้รอดจากคมเขี้ยวของไดโนเสาร์จอมอาฆาตฉายา “กิ่งก่ายักษ์ใบเรือ” อย่าง “สไปโนซอรัส” รวมไปถึงการไล่ล่าของ “วิลอซิแรปเตอร์” ที่กลุ่มของตัวเอกลอบขโมยไข่ของมันมา สำหรับหนังภาค 2-3 อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนภาค 1 แต่ก็ยังกวาดรายและฟันกำไรไปเกือบ 10 เท่าตัวจากทุนที่สร้างทั้งสองภาค

จากนั้นในปี 2015 มีการส่งไม้ต่อให้แก่ผู้กำกับมากมีฝีมืออย่าง “โคลิน เทรวอร์โรว์” อำนวยการสร้างโดย แฟรงก์ มาร์แชลล์ วิลตัน และ แพทริก โครว์ลีย์ กลับมาเนรมิตสวนสนุกไดโนเสาร์ขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อ Jurassic World เนื้อเรื่องในภารนี้มีการเชื่อมโยงจาก Jurassic Park จากรุ่นสู่รุ่น มีตัวละครเก่า-ใหม่ เพิ่มสีสันไม่แพ้ภาคแรก ที่สำคัญ Jurassic World เปิดเป็นสวนสนุกให้ผู้ชมเข้ามาชมได้อย่างสำเร็จและงดงามได้แล้ว ขณะที่ Jurassic Park พินาศตั้งแต่ยังไม่เปิด ผลพวงของ Jurassic World ยังมีความลับซ่อนอยู่หลายอย่าง โดยเฉพาะการตัดแต่งพันธุกรรมกลายเป็นไดโนเสาร์สุดอันตราย “อินโดมินัสเร็กซ์” ไดโนเสาร์กินเนื้อลูกผสมขนาดใหญ่และทรงพลังที่สุด มันคืออาวุธเคลื่อนที่ มีความสามารถในการอำพรางร่างกาย การเรียนรู้ รวมถึงทักษะการสื่อสารกับ “วิลอซิแรปเตอร์” เพื่อควบคุมฝูงโจมตีมนุษย์ ท้ายที่สุดบทสรุปของเรื่องจบลงที่เจ้า “อินโดมินัสเร็กซ์ สู้กับ ไทแรนโนซอรัส” และ “วิลอซิแรปเตอร์” ก่อนที่เจ้า “โมซาซอรัส” ไดโนเสาร์ขนาดใหญ่งับเจ้า “อินโดมินัสเร็กซ์” ลงไปกินในน้ำอย่างสบาย ๆ

ต่อกันที่ Jurassic World 2 Fallen Kingdom (2018) เมื่อภูเขาไฟบนเกาะไดโนเสาร์กำลังระเบิด ส่งผลให้เหล่าไดโนเสาร์จำนวนมากต้องตายลงทั้งหมด กลุ่มบริษัทเอกชนจึงอาสาเข้าไปช่วยเหลือนำไดโนเสาร์เหล่านั้นออกมาไว้ในที่ปลอดภัย และแม้จะช่วยเหลือชีวิตไดโนเสาร์ได้จำนวนมาก แต่ทว่าการช่วยเหลือนั้นกลับกลายเป็นฉากบังหน้า เมื่อการค้าไดโนเสาร์ผิดกฎหมาย รวมไปถึงการลักลอบตัดต่อพันธุกรรมยังคงทำอยู่โดยบริษัทเอกชนต้นเรื่อง พวกเขาผลิตไดโนเสาร์สุดอันตรายตัวที่ 2 อย่างเจ้า “อินโดมินัสแรปเตอร์” มาประมูลขายในตลาดมืด และด้วยความที่มันฉลาดกว่ามนุษย์ จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะหลุดออกมาจากกรงได้ ก่อนจะไล่ล่าสังหารหมู่ผู้คนจำนวนมาก รวมไปถึงเหยื่อผู้เป็นทายาทนักวิจัยชื่อดังอย่าง “ไมซี ล็อกวู้ด” (นำแสดงโดย อิซาเบลลา เซอร์มอน) ซึ่งเธอก็คือมนุษย์โคลน ผลพวงจากงานวิจัยพันธุกรรมของไดโนเสาร์นั่นเอง

เรื่องราวจบลงตรงที่ คู่รักระหว่าง อดีตครูฝึกสอนไดโนเสาร์ “โอเวน” (รับบทโดย คริส แพรตต์) และ อดีตหัวหน้าผู้ดูแลสวนสนุก Jurassic World ภาคแรกอย่าง “แคลร์” (รับบทโดย ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด) กลับมาร่วมมือร่วมใจ ดูแลปกป้อง หนูน้อย “ไมซี” ให้รอดพ้นจากคมเขี้ยวของ “อินโดมินัสแรปเตอร์” ได้สำเร็จ พวกเขายังต้องรับเลี้ยงเธอในฐานะบุตรสาว เพื่อให้พันจากการคุกคามของกลุ่มนักวิจัยที่พยายามจะจับตัวเธอไปทดลอง ซึ่งแน่นอนว่า JURASSIC WORLD 3: DOMINION จะเป็นเรื่องราวของ มนุษย์ที่ต้องอยู่กับไดโนเสาร์กว่า 100 สายพันธุ์ยาวนานกว่า 4 ปี รวมไปถึงความพยายามจะจับตัวหนูน้อย ไปทดลองบางอย่างด้วย…

จุดแข็งของ JURASSIC WORLD 3: DOMINION

โปรดักชั่นงานสร้างของภาคนี้ถือเป็นจุดขายที่ดีที่สุด ผู้ชมจะได้เห็นฉากสวย ๆ ไดโนเสาร์สวย ๆ เพียบ ในส่วนของฉากไล่ล่าจาก “วิลอซิแรปเตอร์” ซึ่งมักจะมีทุกภาค แต่กลับมาคราวนี้ ดุดันกว่าเดิมหลายเท่า และไม่ใช่แค่ แรปเตอร์ ยังมีไดโนเสาร์ ตัวอื่น ๆ ที่ดูทรงพลังและน่ากลัวอีกหลายสายพันธุ์ สำหรับแฟนมีต ตัวจริง เชื่อว่าจะเห็น Easter Egg ในเรื่องนี้เพียบ!! ราวกับต้องการเอาใจแฟนหนังในภาคก่อน ๆ ลากยาวกันไปตั้งแต่ เครื่องแต่งกาย บทของนักแสดง คำพูด ไปจนถึงไดโนเสาร์สุดแจ่ม และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ความน่ารักโดดเด่นของนักแสดงสาววัยทีนอย่าง “อิซาเบลลา เซอร์มอน” ที่ไม่ว่าจะปรากฏตัวในฉากไหนก็ชวนให้หลงใหลในความเก่งกาจ หลักแหลม เติบโตสมวัย รวมไปถึงบทบาทของผู้เป็นพ่อและแม่ จากนักแสดงตัวเอก อย่าง คริส แพรตต์ และ ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด ที่แม้จะดูไม่ค่อยผูกพันกันนัก แต่ก็ยังโชว์ความมุ่งมั่นที่จะลุยไปทุกที่เพื่อตามหาตัวลูกสาวของพวกเขา เป็นการส่งเสริมให้เกิดความรักความผูกพันในครอบครัว

จุดอ่อนของ JURASSIC WORLD 3: DOMINION

ยังมีความไม่สุดในหลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะบทคู่รักแนว “วัยดึก” ระหว่าง ดร.อลัน และ ดร.เอลลี ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉาบฉวยแบบรวบรัดตัดตอน ขณะที่พล็อตเหนังมีการวางเส้นเรื่อง 2 เส้นทาง แต่กลับเล่าซะแสนจะเรียบง่าย ขาดความสมดุล และบางช่วงบางตอนก็จัดให้ตัวละครหายไปดื้อ ๆ ผู้ชมเดาทางได้ทันทีว่า ตอนจบหนังจะเป็นแบบไหน ทั้งหมดทั้งมวล…ยังถือว่ามีความโชคดี เพราะบทตอนหนีไดโนเสาร์ ยังคงเส้นคงวา ชวนลุ้นเสียวขาเสียวแขนได้อยู่ ถ้าลองตัดบทแอ๊คชั่นหนีไดโนเสาร์ หนังเรื่องนี้คงกลายเป็นหนังดราม่า พาท่องเที่ยวอย่างแน่นอน

5/5 กะโหลกสำหรับ ความเร้าใจครั้งใหม่ ไดโนเสาร์ตัวใหม่ แม้จะบทหนังจะไม่เข้มข้น แต่ก็ยังโชว์ภาพสวย ๆ ของไดโนเสาร์ ที่อยู่กับผู้คนได้อย่างงดงาม เหมือนกับต้องการสอนให้คนเราตระหนักว่า ธรรมชาติมิใช่มีไว้ควบคุม แต่มีไว้ให้รักษาและเกิดความสมดุล จึงต้องหาทางอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข…

————————————

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Universal Pictures