รู้ก่อนดู Lightyear บัซ ไลท์เยียร์

ในปี 1995 ได้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของวงการศิลปะภาพยนตร์ เมื่อทุกคนได้รู้จักหนังเรื่อง Toy Story ที่ถูกสร้างโดย Pixar Animation Studios และจัดจำหน่ายโดย Walt Disney โดย Toy Story ไม่ใช่หนังแอนิเมชั่น 2D อีกต่อไป ทั้งยังกลายเป็น 3D แอนิเมชั่นตั้งแต่ต้นเรื่อง…ยันจบเรื่อง ทั้งหมดถูกสร้างจากคอมพิวเตอร์ แถมมีทีมพากย์ระดับดารารางวัล มาช่วยการันตีผลงานอย่าง “ทอม แฮงค์” (วู้ดดี้ ตุ๊กตาคาวบอย ) และ “ทิม อัลเลน” (บัซ ไลท์เยียร์ ตุ๊กตานักบินอวกาศ) ผลงานดังกล่าวกลายเป็น “ป๊อป คัลเจอร์” ในโลกของศิลปะ ทั้งที่ใช้ต้นทุนทำหนังไปทั้งหมดประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ แต่กลับสร้างรายได้ไปถึง 373 ล้านดอลลาร์ แถมยังได้รับการเสนอเข้าชิง รางวัลออสการ์ สามสาขา ได้แก่ บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ยูฟกอตอะเฟรนด์อินมี) และ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลสเปเชียล อะชีฟเมนต์ อะคาเดมีอะวอร์ด อีกด้วย

ถึงแม้หนัง Toy Story ได้เกิดภาคต่อมากมายถึง 4 ภาคด้วยกัน พร้อมแฟรนไชส์ ตัวละครภาคแยก ออกมาในปี 2000 อย่าง Buzz Lightyear of Star Command: The Adventure Begins แต่ท้ายที่สุดแล้ว นักวิจารณ์ต่างยังคงยกย่องให้ Toy Story ภาคแรก มีบทภาพยนตร์ที่เข้มข้นที่สุด และเป็นหนังแอนิเมชั่นที่ดีที่สุดที่เคยสร้างมา

เรื่องย่อ Lightyear บัซ ไลท์เยียร์
จากวันนั้นถึงวันนี้ กว่า 27 ปี ที่ตัวละครอย่าง “บัซ” นักบินอวกาศที่เป็นของเล่นของเด็กน้อย “แอนดี้” ซึ่งเขาได้ชื่นชอบ “บัซ” เป็นพิเศษเนื่องจากได้ชมภาพยนตร์การผจญภัยของนักบินอวกาศผู้นี้ และนี่….คือเรื่องราวของ Space Ranger ผู้กล้าหาญ… สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น…. เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อยานอวกาศคล้ายหัวผักกาด ส่งสัญญาณปลุก “บัซ” และพรรคพวกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล เพื่อนำยานลงจอดบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ก่อนจะสำรวจดูว่าสามารถอาศัยอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นดาวที่อันตราย แม้จะมีน้ำและอากาศ แต่ก็เสี่ยงกับต้นเถาวัลย์ประหลาดที่มักจะชอบจับผู้คนไปฝังลงในดิน รวมทั้งมีเหล่าแมลงขนาดใหญ่คอยไล่ล่าเหยื่อ ความผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อเขาพยายามขับยานหัวผักกาดออกจากดาวดวงนี้ ไปชนเข้ากับหน้าผาจนยานตกพังเสียหาย ผลึกพลังงานหลักใช้การไม่ได้ บัซและผองเพื่อนต้องติดอยู่ในดาวดวงนี้ไปตลอดกาล แน่นอนว่าคนอย่าง “บัซ” ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ เขายังคงพยายามจะหาทางสร้างผลึกพลังงานใหม่ ๆ และทดลองใช้มันกับยานลำเล็ก ๆ เพื่อจะพาทุกคนออกไปค้นหาดาวอื่น ๆ “บัซ” จะทำสำเร็จหรือไม่ ติดตามกันได้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

จุดแข็งของ Lightyear บัซ ไลท์เยียร์
แอนิเมชั่นของ Disney Pixar ยังคงเส้นคงวารักษาความสวยงามและเฟี้ยวฟ้าวไว้ได้ตลอด โดยเฉพาะการนำเอาลูกเล่นชุดอวกาศที่เหมือนของเล่น แต่เป็นชุดอวกาศจริงๆ แล้วมีออพชั่นเสริมเป็นการเอาใจคอหนัง Toy Story โดยแท้ สำหรับตัวละครหลักอย่าง “บัซ” จุดเด่นของเขายังไม่ถูกตัดออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คางทูม!! สวยเด่นเป็นสง่าเสมอ… แถมยังมีทรงผมสุดเท่ให้เห็นกันอีกด้วย ส่วนคนให้เสียงจากเดิมคือ “ทิม อัลเลน” ก็เปลี่ยนไม้มาให้ “คริส อีแวนส์” (เจ้าของบทบาท กัปตันอเมริกา) ซึ่งก็สามารถพากย์ได้ดีสุด ๆ เข้าถึงอารมณ์ของตัวละครได้สบาย ๆ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือนักพากย์ทั้งสองต่างก็เกิดวันเดียวกัน (“ทิม” เกิดวันที่ 13 มิ.ย. 1953 ส่วน “คริส” เกิดวันที่ 13 มิ.ย. 1981)

อีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าแย่งซีนกันสนุกตลอดเรื่องก็คือ ผองเพื่อนที่ร่วมก๊วนป่วนฮา เริ่มจาก เจ้าเหมียวหุ่นยนต์แสนรู้ “ซ็อกส์” (ให้เสียงโดย ปีเตอร์ ซอห์น) ตัวนี้จิ๊ดมากเรียกเสียงฮา และกลายเป็นขวัญใจผู้ชมแน่นอน นอกจากนี้ยังมี “อลิชา” (ให้เสียงโดย อูโซ อาดูบา) ผู้บัญชาการและเพื่อนซี้ของ “บัซ” เธอเชื่อมั่นในตัวเขามาโดยตลอด มิตรภาพของเขาและเธออาจทำให้ใครหลายคนต้องเสียน้ำตาก็เป็นได้… “อีซี่” นักบินอวกาศรุ่นหลาน (ให้เสียงโดย กี้กี้พาล์มเมอร์) เป็นตัวละครเด็กสาวที่ดูห้าวมาก แต่จริง ๆ แล้วก็กวนโอ๊ยใช้ได้เหมือนกัน ในขณะที่ 2 เกลอตัวป่วนอย่าง “โม มอริสัน” (ให้เสียงโดย ไทกา ไวทีที) และ ดาบี้ สตีล (ให้เสียงโดย เดล ซูลส์) คุณลุงกับคุณยายคู่นี้ ลองไปโผล่ที่ไหน…เดี๋ยวได้มีความย่อยยับวายป่วงตามมาแน่นอน….

บทของหนังเรื่องนี้ ก็ถือเป็นจุดแข็งเช่นเดียวกัน เพราะไม่ใช่แค่ขายความฮาอย่างเดียว แต่ยังแฝงไปด้วยเรื่องราวสอนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…. คนเราเคยทำผิดพลาดได้ ก็ต้องรู้จักยอมรับความผิดพลาดนั้น ๆ และเรียนรู้แก้ไขจากความผิดดังกล่าวด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ชัยชนะในตอนสุดท้าย แต่อาจเป็นช่วงเวลาที่ได้พยายามค้นหาและวิธีการเอาชนะอุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิตรภาพของความเป็นเพื่อนถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ

จุดอ่อน
ใครที่เป็นแฟนหนัง Disney Pixar จะรู้ทันทีว่า การปูเรื่องของหนังของค่ายนี้ จะเริ่มจากปมปัญหาแรก ไปสู่ปมปัญหาที่ 2 แต่ยังไม่ทันจัดการปัญหาแรกได้ก็จะมีปมปัญหาที่ 3, 4, 5 ไปจนถึง 10 เพื่อให้คนดูปั่นป่วนและอินตาม จากนั้นก็จะมีเรื่องให้พลิกสถนการณ์ เพื่อแกะปมปัญหาได้เรื่อย ๆ ก่อนจะเจอเข้ากับปมใหญ่จนต้องร้องว้าว และท้ายที่สุดอาจต้องเสียน้ำตาเมื่อได้รู้ความจริง ดังนั้นจึงเชื่อว่าแฟนหนัง Disney Pixar หลาย ๆ คน พอดูหนังไปได้เพียง 30 นาทีแรก ก็พอจะเดาออกว่า เรื่องราวต่อไปจนถึงตอนจบจะเป็นอย่างไร เนื่องจากโครงเรื่องทำไว้หลวม ๆ จนเดาไม่ยากจริง ๆ

5/5 กะโหลก ถือเป็นภาพยนตร์ที่ส่งเสริมความรักความเข้าใจในหมู่เพื่อนฝูง แนะนำให้พาเพื่อน ๆ ไปดูกันเยอะ ๆ สนุกฮาแน่นอน สำหรับคุณพ่อคุณแม่ พาลูกไปดูได้เลยไม่มีพิษภัยให้ต้องกลัว มีแต่ตลกและน่ารักสุด ๆ

————————————

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน

ขอบคุณข้อมูล ภาพจาก เว็บไซต์ Youtube และ Pixar Animation Studios