ต่อเลยนะครับ หากท่านผู้อ่านอยากจะปูพื้นติดตามได้ใน 50 ปี อเมริกา-จีน การทูตเปลี่ยนโลก  สำหรับใครที่อ่านมาแล้ว ก็เริ่มกันเลยครับ การทูตปิงปอง ที่จีนเชิญนักกีฬาอเมริกาไปแข่งนั้น สร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งโลก ตอนนั้นจีนยังปิดประเทศ ไม่มีใครรู้ว่าจริง ๆ แล้วประเทศนี้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะชาติตะวันตก

นักกีฬาที่ไปแข่งปิงปองครั้งนั้นเล่าว่า บ้านเมืองจีนนั้นเต็มไปด้วยรูป ประธานเหมา เจ๋อ ตุง เต็มไปหมด ทุกคนพูดถึงแต่เหมา หนีบสมุดเล่มสีแดง ซึ่งเป็นสารนิพนธ์รวมบทกวีคำพูดของเหมา ทุกคนท่องได้เต็มไปหมด ซึ่งช่วงนั้นจีนกำลังทำ การปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างดุเดือดมาก มีคนตายมหาศาล นี่คือ การปฏิวัตินองเลือด ที่ชนชั้นนำจีนในพรรคคอมมิวนิสต์กระเด็นกระเซ็นกระจัดกระจายกันไปหมด ศัตรูทางการเมืองหรือผู้ไม่เห็นด้วยกับเหมา พยายามหาทางเอาชีวิตรอดกันเป็นทิวแถว

เค้าลางแห่งการปฏิวัติก็เหมือนกับทุกที่ในโลก คือ แตกแยกกัน แต่ของจีนหนักมาก เพราะ ระบบการเมืองมันปิด เกมการชิงอำนาจจึงเดิมพันสูง ทีมนักกีฬาอเมริกาที่ไปตอนนั้นเล่าว่า ทุกคนแต่งตัวด้วยชุดเหมากันหมด ทีมปิงปองอเมริกันสู้จีนไม่ได้แน่ครับ แพ้ แต่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเกมการทูตที่ค่อย ๆ เริ่มขึ้น พวกเขาได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน ซึ่งตอนไปนั้นคนน้อยมาก แตกต่างจากช่วงก่อนโควิดจะแพร่ระบาด

ความสำเร็จเกิดขึ้นไปแล้ว ทีนี้เป็นเรื่องของนักการเมืองล่ะครับ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ อเมริกาส่ง เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้กับ ปธน.นิกสัน ไปจีนเพื่อไปคุยกับนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล เพื่อกำหนดกรอบว่าการนัดพบเจอหน้ากันระหว่าง นิกสันกับเหมา เจ๋อตุง นั้นควรจะเป็นอย่างไร

แต่ดังที่เรียนไปว่า ทั้งสองประเทศไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูต จะไปมาหาสู่กันแบบปกติไม่ได้ ดังนั้นมันก็ต้องใช้ประเทศที่ 3 เข้ามา นั่นก็คือ ปากีสถาน นั่นเอง โดยปากีสถานทำทีเป็นชวนคิสซิงเจอร์ไปหารือ และระหว่างการหารือนั้นคิสซิงเจอร์ก็แอบขึ้นเครื่องบินจากปากีสถานไปจีน 

แอบไปนะครับ

แต่ระหว่างนั้นมีสื่อมวลชนคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้และรีบรายงานข่าวไปยังกองบรรณาธิการว่า พบเห็นคิสซิงเจอร์ที่สนามบินจะเดินทางไปจีน สมัยนั้นโลกยังไม่มีสื่อออนไลน์ กระดาษ วิทยุ โทรทัศน์เท่านั้นที่จะรายงานข่าวนี้ได้

แต่ บก.ของนักข่าวคนนี้บอก เหลวไหล ไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้ นับเป็น การตกข่าวครั้งประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว

คิสซิงเจอร์ไปพบกับโจว เอินไหล คุยนอกรอบกันเรียบร้อย จากนั้นก็ได้ฤกษ์ นิกสันเดินทางไปพบกับประธานเหมา เจ๋อตุง นับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำมหาอำนาจได้พบกันเป็นครั้งแรกในรอบ หลาย 20-30 ปีเลย การพบกันครั้งนั้น นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต โซเวียตถูกตัดขาดจากจีน ศัตรูของศัตรูคือมิตรในที่สุด

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เปลี่ยนดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย รัฐบาลเผด็จการทหารไทยในตอนนั้นแทบตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้นได้ เพราะปลูกฝังความกลัวจีนคอมมิวนิสต์มายาวนาน และอิงแอบพญาอินทรีมาหลายปี ทั้งส่งทหารไปช่วยรบในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาวันนี้อเมริกาเปลี่ยนข้างเสียแล้ว ไม่แจ้งอะไรล่วงหน้าด้วย

ชนชั้นนำไทยใช้เวลาในการปรับตัวเรื่องนี้นานมาก กว่าจะไปเปิดความสัมพันธ์การทูตกับจีน ก็ต้องก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 โดยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไปพบเหมา ซึ่งตอนนั้นชรามากแล้ว และขณะนั้น เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ตกกระป๋องสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม เริ่มกลับมาในวงอำนาจอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องแปลกคือทั้งนิกสันและ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มาเจอเหมาเสร็จกลับไป ก็ตกกระป๋องทันที โดยนิกสันนั้นเจอ คดีวอเตอร์เกท สุดอื้อฉาวที่พบว่ามีการใช้เงินหาเสียงเลือกตั้งไปสอดแนมทำลายคู่แข่ง เหตุการณ์นี้เป็นข่าวพูลิเซอร์ชนะเลิศของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ถูกสร้างเป็นหนัง คนหนุ่มสาวอเมริกาอยากเป็นนักข่าวกันมาก ส่วนนิกสันซึ่งทำงานผลงานได้ดี ทั้งยุติสงครามเวียดนาม ไปจับมือกับจีน แต่ก็มาตกกระป๋องต้องลาออกจากตำแหน่ง ปธน.อย่างเสื่อมเสียสุด ๆ

หนอนโรงพัก

ส่วนอาจารย์หม่อมนั้นแกยุบสภาแล้วก็แพ้เลือกตั้ง จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ขึ้น ในวันนั้นประเทศเรายกระดับเศรษฐกิจหลุดจากประเทศยากจนเข้าสู่ประเทศรายได้เป็นกลางสำเร็จ ขณะที่จีน เหมา เจ๋อตุง ถึงแก่อสัญกรรม จากนั้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ทาง เติ้ง เสี่ยวผิง และพลพรรคก็เข้าจับกุมแก๊งสี่คน ซึ่งผูกขาดอำนาจในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมมายาวนานเสีย นั่นทำให้แสงของเติ้ง จรัสแสงอย่างมาก ด้วย นโยบาย 4 ทันสมัย เปิดประเทศทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ทางด้านตะวันตก ด้วยแนวคิดจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งรวยก่อน เพื่อรับความเจริญทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น ผลให้จีนเกิดความเหลื่อมล้ำช่องว่างถึงปัจจุบันนี้

ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างจีนกับอเมริกา ผ่านมา 50 ปีแล้ว ขณะนี้ 2 ประเทศกลับมาตึงเครียดกันอีกครั้งในลักษณะของมหาอำนาจ ทั้งเรื่องดินแดนในทะเลจีนใต้ ไต้หวัน เวียดนาม ศัตรูที่อเมริกาเคยรบมานานก็หันไปหาอเมริกาเพื่อคานอำนาจกับจีน ส่วนไทยเรานั้นยุคนี้อิงจีน ทั้งที่เราเคยเกลียด และคนที่เคยเกลียดคอมมิวนิสต์เกลียดจีนมาก่อนแล้วเชียร์อเมริกา ก็เกิดการกลับตาลปัตรทางความคิดมาเชียร์จีนได้เฉยแบบงง ๆ

นักวิชาการรุ่นหลังตั้งคำถามว่า 50 ปีความสัมพันธ์นี้มันเหมาะสมเหมาะควรหรือไม่ ที่ไปคบกับจีนเพื่อหวังล้มโซเวียต เอาตามตรง ในสถานการณ์นั้นมันก็เป็นเรื่องถูกต้อง เพราะตอนอเมริกาไปเปิดความสัมพันธ์นี้แล้ว ชาติอื่น ๆ ก็ตามมาเปิดกันเป็นทิวแถว รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งสุดท้ายนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติตัวเองเป็นที่ตั้ง และ ต้องหาทางเจรจากันให้ลงตัวกันทั้งสองฝ่าย

วิสัยทัศน์และการเจรจานั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักการเมืองในการออกนโยบาย โดยมีข้าราชการประจำคอยดำเนินการให้ทุกอย่างลุล่วงไปได้ กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี เราก็หวังว่ารัฐบาลและประเทศไทย จะหาสมดุลเจอระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งจีนและอเมริกาได้อย่างลงตัว ไม่อิงไปข้างใดข้างหนึ่งมากไป เราสามารถทำได้ มันต้องวัดกึ๋นของนักการเมืองในยุคนี้ครับ

ว่าจะแน่แค่ไหน!

………………………………………………………………….
คอลัมน์ : หนอนโรงพัก
โดย “ณัฐกมล ไชยสุวรรณ”
ขอบคุณภาพจาก : wikipidia