ผมถามลูกชายว่า เข้าใจคำว่า Butterfly Effect หรือไม่ เขาส่ายหน้า ผมจึงบอกว่า แค่ผีเสื้อกระพือปีกก็สามารถทำให้เกิดพายุได้ คราวนี้ลูกชายนึกตามบอกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ ผมจึงบอกว่านี่คือทฤษฎี Chaos Theory เปรียบเปรยถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากเพียงสิ่งเล็ก ๆ แต่ส่งผลกระทบมหาศาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีอีกคำที่ได้ยินบ่อยคือ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ก็ทำนองเดียวกัน

ที่ผมคุยกับลูกเพราะได้ไปเห็นหนังเรื่อง The Butterfly Effect ปี 2004 แล้วจำได้ว่าเคยถกกับเพื่อน ๆ เพราะผมเคยดูที่อเมริกา ตอนจบไม่เหมือนกับเพื่อนๆ ที่ดูเมืองไทย ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ Ashton Kutcher เปลี่ยนบทบาทมาเล่นแนวนี้ ผมว่าเจ๋งกว่าแนว Love Comedy เยอะ

หนังเรื่องนี้ได้ Flash Back ก่อนเรื่องไหน ๆ ทำได้สนุกทีเดียว (Happy Death Day นี่หนักมากจนเป็นตลกไปเลย) The Butterfly Effect เป็นการย้อนเวลากลับไปอย่างมีเหตุผล แล้วตรงกับธีมของเรื่อง บางตอนก็ลุ้น บางตอนก็แอบขำ แต่ต้นเหตุของเรื่องนี่ดราม่าใช้ได้เลยครับ

ไหน ๆ เกริ่นมาแล้ว ขอเล่าเรื่องไว้สักนิด เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่มีเหตุการณ์สำคัญในชีวิตทีไร เขามักจะปวดหัวแล้วจำอะไรไม่ได้ บางครั้งก็มีพฤติกรรมแปลก ๆ แบบที่แม่เขาก็ไม่เข้าใจ แต่อาการ Black Out หรือหมดสติไปนี้หายไปเมื่อเขาเป็นวัยรุ่นขณะที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

วันหนึ่งเขาไปพบกับสมุดที่จดบันทึกโดยบังเอิญ ทำให้เขาระทึกถึงว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ตอนสมัยวัยเด็กที่ขาดหายไปเกิดอะไรขึ้นและพยายามจะหาคำตอบ เขาได้พบว่าเมื่อเขาตั้งใจอ่านตัวอักษรที่เขาจดไว้ เขาจะหลุดเข้าไปในเหตุการณ์นั้นได้ จุดสนุกเริ่มต้นจากตรงนี้นี่แหละครับ เพราะบุคคลรอบตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นแม่ เพื่อน หรือเด็กหญิงที่เขาเคยชอบ เมื่อเขาพยายามจะเปลี่ยนแปลงอะไรในอดีตอย่างไร ก็จะมีคนที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันทั้งนั้น แม้กระทั่งตัวเขาเอง

ผมเล่าทิ้งไว้แค่นี้ เพราะไม่อยากสปอยล์ทั้งหมด โดยเฉพาะตอนจบ คราวนี้ผมได้ดูในเวอร์ชั่นที่ผมไม่เคยดูมาก่อน อันนี้ฟินมาก และถ้าใครอยากรู้ว่าตอนจบมีแบบไหนบ้าง (ผมเพิ่งรู้ว่ามีจบตั้ง 4 แบบ) แยกตามโซนหนังที่ไปฉาย อันนี้ต้องพึ่ง youtube ลองไปหาดูกันนะครับ

………………………………………..
คอลัมน์ :
ก้อนเมฆเล่าเรื่อง
โดย
“น้าเมฆ”
https://facebook.com/cloudbookfanpage