เปิดหัวเกมแรกของฤดูกาล “หงส์แดง” ก็เกือบพังเสียแล้ว…!

เกมเยือน ฟูแลม ที่คราเวน ค็อตเทจ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ มาแบบไม่ถึงกับสมบูรณ์เต็มร้อย ดีโอโก โชตา ยังไม่หายเจ็บ เกมรับก็มาเสีย อิบราฮิมา โกนาเต ที่เดี้ยงจากเกมอุ่นเครื่องกับ สตราสบูร์ก ไปอีก

อย่างไรก็ตาม 11 ตัวจริงเกมนี้ก็ถือว่าเต็มสูบที่สุดเท่าที่มี โฌแอล มาทิป ลงมายืนคุมเกมรับคู่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ถือว่าไม่เสียหาย ส่วนแนวรุก คลอปป์ เลือกใช้ โรแบร์โต ฟีร์มิโน ก่อน ดาร์วิน นูนเญซ เหมือนเกมคอมมิวนิตี ชิลด์

แต่เมื่อเกมเริ่ม จากที่ใคร ๆ คาดว่า “หงส์แดง” น่าจะเจอเกมไม่ยากในการมาเยือนน้องใหม่หน้าเก่า แต่กลายเป็น ฟูแลม ภายใต้การกุมบังเหียนของ มาร์โก ซิลวา ที่มาดีเกินคาด นักเตะเกมรุกและแผงมิดฟิลด์ของเจ้าถิ่นวิ่งบีบจน ลิเวอร์พูล ตั้งเกมไม่ถนัด และแทบไม่มีโอกาสพาบอลเข้ากรอบเขตโทษ “เจ้าสัวน้อย”

ขณะที่เกมรุกก็ฉวัดเฉวียนให้เหล่า “เดอะ ค็อป” เสียวท้องน้อยกันเป็นแถว โดยเฉพาะลูกครอสเข้ากรอบเขตโทษ แล้วสุดท้ายก็มาโป๊ะเชะในนาทีที่ 32 เมื่อ อเล็กซานดรา มิโตรวิช โฉบเข้ามาโขกที่เสาไกลตุงตาข่าย

ครึ่งหลัง “หงส์แดง” เริ่มกระเตื้อง แต่ผ่านไปแค่ 6 นาที สิ่งที่ คลอปป์ และแฟนบอล “หงส์แดง” ไม่อยากเห็นก็เกิดขึ้น เมื่อ ติอาโก อัลคันทารา เจ็บกล้ามเนื้อต้นขาซ้าย ต้องถูกถอดออกให้ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงไปแทน

จากเดิมที่กองกลางในเกมนี้ทั้ง ติอาโก รวมถึง ฟาบินโญ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ก็ปะติดปะต่อเกมไม่ค่อยได้เท่าไหร่อยู่แล้ว กลายเป็นต้องมาเสียตัวหลักออกไปอีก ซึ่งจากนี้ก็ต้องตามกันต่อว่ามิดฟิลด์ทีมชาติสเปนต้องพักมากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม แม้รูปเกมจะดูไม่ค่อยดี แต่สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นก็คือการส่ง ดาร์วิน นูนเญซ ลงมาแทน ฟีร์มิโน พร้อม ๆ กับ ฮาร์วีย์ ที่ลงมาแทน ติอาโก นั่นแหละ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ลงมาทำให้เกมรุกของ “หงส์แดง” มีความหนักหน่วงดุดันขึ้น และที่สำคัญคือพวกเขามีคนที่ปักหลักคอยจบสกอร์ในกรอบเขตโทษแบบเป็นเรื่องเป็นราว ประตูตีเสมอ 1-1 ก็เกิดมาจากการที่ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย พาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแบบถูกที่ถูกเวลา

กระนั้น ในวันที่แย่ ๆ ของ “หงส์แดง” แม้เหมือนจะกลับมาได้ แต่ก็มีเหตุให้ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังอีกครั้ง จากจังหวะที่ มิโตรวิช ซึ่งเกมนี้โดดเด่นจนได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ นั้น ลากจี้เข้าหา ฟาน ไดค์ ก่อนที่กองหลังดัตช์จะเสียท่าโดนโยกหนีดื้อ ๆ จนต้องสกัดร่วงในเขตโทษ ก่อนที่ดาวยิงเซิร์บจะลุกขึ้นมากดไม่เหลือซากในนาทีที่ 72

เวลาเหลือน้อย กลับมาตามหลังอีกครั้ง แถมเป็นในวันที่ติด ๆ ขัด ๆ ไปหมดทั้งในแผงมิดฟิลด์และในเกมรุก (เชื่อว่าหลายคนคงคิดถึง ซาดิโอ มาเน ไม่น้อย) แต่สุดท้าย “หงส์แดง” ยังอาศัยความ “หมัดหนัก” ทำประตูตีเสมอจนได้ จากการเปิดโค้งเข้ากรอบเขตโทษของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ บอลตกใส่เท้า นูนเญซ เด้งกลับไปให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงไม่เหลือ

กลายเป็นแอสซิสต์ของ นูนเญซ ไปเฉยเลย 555…

39 นาทีในสนามของ นูนเญซ เขามี 1 ประตู 1 แอสซิสต์ ได้โอกาสยิงไป 4 ครั้ง เป็นนักเตะที่มีโอกายิงมากที่สุดในทีม แถมยิงเข้ากรอบไป 3 ครั้ง นอกจากนี้ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ยังเป็นนักเตะ “หงส์แดง” ที่สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากที่สุดของทีมในเกมนี้ถึง 7 ครั้ง รวมถึงเอาชนะในการดวลลูกกลางอากาศได้ 3 ครั้งด้วย

อย่างที่บอกไปนั่นแหละครับ นูนเญซ คือสิ่งดีที่เกิดขึ้นในเกมที่แย่ แต่เหมือนอย่างที่ คลอปป์ ให้สัมภาษณ์หลังเกมนั้นแหละครับ ว่าทีมสามารถเก็บ 1 แต้มได้ในเกมที่แย่

และเมื่อดูจากรูปเกม ผลการแข่งขันที่ได้ คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วในเกมนี้สำหรับ “หงส์แดง”

//////////////////////////

สถิติที่น่าสนใจเกม ฟูแลม – ลิเวอร์พูล

  • ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ลิเวอร์พูล เก็บได้ 115 คะแนนจากสถานการณ์ที่ตกเป็นรองคู่แข่ง ซึ่งเป็นสถติสูงสุดในพรีเมียร์ลีก ในช่วงเวลานับตั้งแต่กุนซือชาวเยอรมันเข้ามาคุมทีมในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อเดือนตุลาคม 2015
  • ฟูแลม ไม่แพ้ในเกมแรกหลังเลื่อนชั้นกลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังจากก่อนหน้านี้แพ้รวดมา 5 ครั้ง ในฤดูกาล 1949-50, 1959-60, 2001-02, 2018-19 และ 2020-21
  • ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ใครในเกมลีก 20 นัดหลังสุด (ชนะ 16 เสมอ 4) นับตั้งแต่แพ้ เลสเตอร์ 0-1 เมื่อเดือนธันวาคม 2021 นอกจากนี้ “หงส์แดง” ยังไม่แพ้ใครในเกมนัดเปิดฤดูกาลมา 10 ซีซั่นติดต่อกันแล้ว (ชนะ 8 เสมอ 2)
  • ฟูแลม ไม่แพ้ ลิเวอร์พูล เป็นเกมที่ 3 ติดต่อกันในทุกรายการ (ชนะ 1 เสมอ 2) หลังจากก่อนหน้านั้นแพ้ “หงส์แดง” มา 6 เกมติด
  • ลิเวอร์พูล เสียจุดโทษในเกมลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 52 เกมหลังสุด ซึ่งเป็นสถิติไม่เสียจุดโทษยาวนานที่สุดในพรีเมียร์ลีก ขณะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทำเสียจุดโทษในลีกสูงสุดแดนผู้ดีเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี เมื่อเดือนตุลาคม 2018
    เครดิตภาพ : REUTERS