สมาคมฟุตบอลไทย แบะท่ามาหลายที จะมองข้าม มองผ่านซีเกมส์ ถ้ามันลำบาก มันกระทบส่วนอื่น ก็ไม่ต้องเน้นมาก

ซีเกมส์ 2019 ที่ฟิลิปปินส์ ก่อนเดินทาง อากิระ นิชิโนะ โค้ชตอนนั้น พูดเลยว่า เป้าหมายการไปซีเกมส์คือ…”นักกีฬาไม่เจ็บ” เพราะมีศึก 23 ปีเอเชียรออยู่

ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่การคว้าเหรียญทอง

แต่ในมุมของ ผู้หลักผู้ใหญ่ กกท. คนกลางจ่ายเงินสนับสนุนตามเกณฑ์จากภาครัฐบาล, คกก.โอลิมปิคแห่งประเทศไทย ที่มีหน้าที่ส่งแข่งขันมหกรรมกีฬา รวมทั้งซีเกมส์ ก็มองต่างกันไป

นั่นทำให้เกิดอิหลักอิเหลื่อ สมาคมบอลไทย จะมองข้าม แต่ กกท.บอก รับเงินไปแล้วต้องเต็มที่ มาถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างได้ไง

ซีเกมส์ล่าสุด ที่เวียดนาม “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เจอสถานการณ์แบบนี้ ผู้ใหญ่กีฬาไทยกดดันมาว่าต้องเหรียญทอง เลยวิ่งวุ่น ขาแทบขวิด หานักเตะชั้นดี ถึงขั้นโยก มาโน โพลกิง จากชุดใหญ่ลงมาคุม (แต่ก็ชวดอยู่ดี)

เมื่อก่อนซีเกมส์ คือกีฬายิ่งใหญ่ของชาวไทย โดยเฉพาะฟุตบอลชาย คือเหรียญใหญ่ ศักดิ์ศรีแทบเทียบเท่าเจ้าเหรียญทอง ดังนั้นถ้าพลาดกลับมาเรื่องยาว สาบถสาบานกันก็มี

แต่ในยุคนี้ วงการฟุตบอลทั้งโลกถูกจัดระเบียบใหม่ ด้วยการเติบโตของวงการฟุตบอลอาชีพ ค่าตอบแทนมหาศาล รวมทั้งการตีเส้นของฟีฟ่า สโมสรมีสิทธิ์ไม่ปล่อยนักเตะ หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่ฟีฟ่าวางไว้

แน่นอน ซีเกมส์ ไม่ได้อยู่ในปฏิทินของฟีฟ่า (รวมทั้งศึกชิงแชมป์อาเซียนด้วย)

การวางแผนเตรียมทีมชาติ เมื่อมีปัจจัยฟุตบอลอาชีพเข้ามา, เกมการแข่งขันของเอเอฟซี, ฟีฟ่า ที่รออยู่ล้อมหน้าล้อมหลัง จึงลำบากถ้าจะให้น้ำหนักทุ่มเทกับซีเกมส์ ซึ่งแข่งจบแล้วจบกัน ไม่ได้ต่อยอดอะไร

ได้ 100 แชมป์ซีเกมส์ ก็แลกตั๋วบอลโลกไม่ได้

บอลซีเกมส์ จึงค่อยๆ กลายเป็น “ปัญหา” สำหรับฟุตบอลไทย

ขณะเดียวกันเรื่องนี้ ผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องทำความเข้าใจบริบท แน่นอนซีเกมส์ก็สำคัญ แล้วพอแข่งที ฟุตบอลก็คือกีฬาเอก แต่ต้องเข้าใจว่าโลกลูกหนังมันเปลี่ยนไปแล้ว

ไอเดียประเภท ไปคุยเอเอฟซี ให้เลื่อนโปรแกรมแข่งขัน เคลียร์ทางให้ซีเกมส์ได้ไหม ถือเป็น “ตลกร้าย” ไม่รู้จะขำ หรือจะร้องไห้ดี ในเมื่อโลกของฟุตบอลตอนนี้ โปรแกรมของฟีฟ่า คือหลักใหญ่ แล้วองค์กรย่อยก็ปรับกันเอง มีอย่างที่ไหน จะปรับโดยยึดจากล่างไปบน

บ่งบอกถึงความรับรู้ข้อมูล ที่บางทีคนข้างๆ ต้องสะกิด ต้องบอก และสมาคมบอล ต้องทำความเข้าใจให้ขาด

ความเข้าใจคลาดเคลื่อนกับบริบทปัจจุบัน มาจนถึงล่าสุดการพูดเข้มๆ ไม่ได้เหรียญทองซีเกมส์ นายกก็ออกไปซะ

เข้าใจในความเป็นห่วงเป็นใย อยากนำความสุขมาสู่คนไทย อยากลงแส้ให้บอลไทยพัฒนาขึ้น

แต่เอาจริงๆ ตอนนี้เผลอๆ แฟนบอลที่เข้าใจโลกลูกหนังจริงๆ ก็ไม่ค่อยแยแสเท่าไหร่แล้วกับซีเกมส์ ไม่ได้อาจเซ็งบ้าง แต่ถ้าบอลไทยไปตกรอบรายการสำคัญ ค่อยเตรียมด่าให้ยับ

ที่สำคัญ เมื่อคนพูด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งสวมหมวกหลายใบ และใบที่ชัดที่สุดคือ “รองนายกรัฐมนตรี”

คือตำแหน่งทางการเมือง

คำพูดแบบนี้ ย่อมน่าหวาดผวาว่าเข้าข่ายแทรกแซง นำมาสู่บทลงโทษของฟีฟ่า

แว่วว่า พูดทำนองนี้หลายครั้ง แต่หนนี้ชัดเจนที่สุด

ย้ำว่า คนรอบข้าง ที่ปรึกษา ต้องรีบสะกิด ต้องรีบเตือน รีบทำความเข้าใจกับโลกกีฬายุคนี้ กับโลกลูกหนังที่ต้องยอมรับว่า “ฟีฟ่าคือพ่อ”

บอลไทยอาจไม่ดีจริงๆ ทำแฟนบอลเจ็บช้ำน้ำใจ และท่านก็มีอำนาจบารมีหลากหลายด้าน

แต่จะนำอำนาจนั้นมาใช้ตรงพื้นที่ของบอลไทย…ไม่ได้

มันจะยิ่งวายป่วงหนักเข้าไปอีกครับ.

*** วุฒินล ***