แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้เวลาตลอดทั้งซัมเมอร์ที่แล้ว เพื่อไล่ล่าตัว เฟรงกี เดอ ยอง ห้องเครื่องชาวดัตช์ของ บาร์เซโลนา มาเสริมแกร่ง แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง หลัง ดาวเตะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ยืนกรานแบบกระต่ายขาเดียวว่า ต้องการค้าแข้งอยู่ในถิ่น คัมป์ นู ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า เอริค เทน ฮาก ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด จะยังไม่ยอมตัดใจง่าย ๆ หลังมีข่าวว่า ยอดกุนซือชาวเมืองกังหันลม กำลังวางแผนที่จะหวนกลับไปล่าลายเซ็นของศิษย์รักรายนี้อีกครั้ง หลังจบฤดูกาลนี้

ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เพราะอะไร แมนฯ ยูไนเต็ด และ เทน ฮาก จึงไม่ยอมตัดใจจาก เดอ ยอง เสียที

อย่างที่ทราบกันว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีปัญหาเรื่องมิดฟิลด์คู่กลางมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะในยุครุ่งเรืองของคู่หูคู่ฮาอย่าง “แม็คเฟร็ด” สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด

แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด อาจจะเป็นนักเตะที่ขยันทุ่มเท และเล่นเกมรับได้พอใช้ แต่ปัญหาก็คือ ทั้งคู่ไม่ใช่มิดฟิลด์ที่สามารถจะเชื่อมเกมจากแดนหลังไปสู่แดนหน้าได้ เนื่องจากความสามารถเฉพาะตัว และวิสัยทัศน์ในการผ่านบอลที่จำกัดจำเขี่ย

ที่สำคัญทั้ง แม็คทอม และ เฟร็ด ยังมักจะทำบอลเสียกลางทางเมื่อถูกคู่แข่งกดดัน จนเป็นเหตุให้ตาข่ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องสะเทือนหลายต่อหลายครั้ง

เทน ฮาก มองปัญหานี้ขาดตั้งแต่ตกปากรับคำที่จะย้ายจาก อาแจ็กซ์ อัมส์เตอร์ดัม มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด และแทงเรื่องขึ้นไปยังบอร์ดบริหารของ เรด เดวิลส์ ว่า เขาอยากได้ เดอ ยอง เข้ามาเสริมทัพเป็นคนแรก

แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่า สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ต้องซดน้ำแห้ว หลัง เด ยอง ไม่ยอมโบกมืออำลาสโมสรในฝันอย่าง บาร์ซา แม้จะถูกขอพักชำระค่าเหนื่อยบางส่วนชั่วคราว เพื่อช่วยพยุงสถานะทางการเงินของทัพเลือดหมูน้ำเงินก็ตาม

กระนั้นถือว่าฟ้ายังเมตตา แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พวกเขาไปได้ตัว คาเซมิโร มิดฟิลด์ทีมชาติบราซิลของ รีล มาดริด เข้ามาแทนที่ และยังได้ คริสเตียน อีริคเซน มาร่วมทัพแบบฟรี ๆ จนทำให้ปัญหาในแดนกลางทุเลาลงไปเยอะทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เทน ฮาก ยังคงไม่ลืมนักเตะในดวงใจอย่าง เดอ ยอง เพราะรู้ดีว่า นี่คือนักเตะที่จะช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นทีมที่มีลุ้นแชมป์รายการใหญ่ทั้ง พรีเมียร์ลีก หรือ แม้กระทั่ง แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างเต็มตัว

เดอ ยอง ได้รับการยกย่องว่า เป็นมิดฟิลด์ยุคใหม่ที่เล่นได้แบบไฮบริด หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือเล่นเกมรับก็ได้ เล่นเกมรุกก็ดี

แต่คุณสมบัติที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความสามารถในการพาบอลจากแดนหลังขึ้นทะลุขึ้นไปสู่แดนหน้า ไม่ว่าจะเป็นโดยการผ่านบอล หรือ การเลี้ยงบอลแหวกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามขึ้นไปดื้อ ๆ ซึ่งมิดฟิลด์หมายเลข 8 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีอยู่ในสต๊อกตอนนี้ทั้ง เฟร็ด, แม็คทอม, อีริคเซน หรือ มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ไม่สามารถทำได้

นอกจากนี้ ดาวเตะวัย 25 ปี ยังเพรสซิ่งใส่คู่แข่งได้อย่างดุดัน ซึ่งเข้ากับสไตล์การเล่นแบบเคาน์เตอร์เพรสซิ่ง หรือ การพยายามกดดันคู่แข่งเพื่อแย่งบอลกลับมาครอบครองให้ได้โดยเร็วที่สุดที่ เทน ฮาก พยายามนำมาติดตั้งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เป็นอย่างดี

ลองคิดดูเล่น ๆ ว่า หาก แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ เดอ ยอง มาจับคู่กับสุดยอดมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง คาเซมิโร มันจะเกิดนรกอะไรขึ้น หรือ แม้กระทั่งการจับเอา เดอ ยอง ไปยืนคู่ เฟร็ด หรือ แม็คโทมิเนย์ มันก็ยังดูดีมีอนาคตมากกว่าการจับ เฟร็ด มาคู่ แม็คทอม เป็นไหน ๆ

ทว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ เดอ ยอง ยังคงยืนยันว่า ไม่ต้องการจะย้ายไปจาก คัมป์ นู ดังนั้นเรื่องราวระหว่างตัวเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด จึงเป็นไปได้ยากเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ อดีตเด็กสร้างอาแจ็กซ์ กลายเป็นนักเตะคนโปรดของ ชาบี เอร์นานเดซ กุนซือเจ้าบุญทุ่ม ไปเรียบร้อย

กระนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ยังพอมีตัวเลือกที่มีฝีเท้า และคุณสมบัติใกล้เคียงกับ เดอ ยอง อยู่เช่นกัน ทว่าแต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่อยู่กับทีมใหญ่ หรือ ไม่ก็เป็นนักเตะที่ค่าตัวแพงระยับทั้งสิ้น อาทิ เฟเดริโก วัลเวร์เด ของ รีล มาดริด และ แบร์นาร์โด ซิลวา ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ที่ดูจะเป็นเป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อมยิ่งกว่า เดอ ยอง ด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ ยังมี จู๊ด เบลลิงแฮม ของ โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์ ที่น่าจะมีประสิธิภาพไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ก็น่าจะทำให้ ผีแดง วอดวายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์แน่นอน

ส่วนตัวเลือกที่ราคาย่อมเยาลงมาหน่อย ก็มีอย่าง อาเดรียง ราบิโอต์ ห้องเครื่องทีมชาติฝรั่งเศสของ ยูเวนตุส แต่หากเลือกคนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะต้องปวดหัวกับคุณแม่ เวโรนิก ที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าให้ลูกชายไปด้วยในตัว และเคยทำให้พวกเขาต้องล้มแผนคว้าตัว ราบิโอต์ มาแล้วรอบหนึ่ง เพราะคุยเรื่องค่าเหนื่อยไม่ลงตัว เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่แล้วนั่นเอง