อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบอย่างหนึ่งในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งนี้ ที่ทำให้รัฐบาลวอชิงตันรู้สึกไม่สบายใจ คือ บทบาทของจีนในฐานะ “คนกลางสานสันติภาพ” ในภูมิภาคที่สหรัฐมีอิทธิพลมาอย่างยาวนาน

ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ร่วมรายงานข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตดังกล่าว หลัง “การประชุมลับ” นาน 4 วัน ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งนายจอห์น เคอร์บีย์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ยืนกรานว่า แม้รัฐบาลวอชิงตันไม่ได้ส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ซาอุดีอาระเบีย ยังคงคอยรายงานสหรัฐ เกี่ยวกับความคืบหน้าของการเจรจากับอิหร่านเป็นระยะ

Al Jazeera English

ดูเหมือนว่าเคอร์บีย์จะมองข้ามการมีส่วนร่วมของจีน โดยกล่าวถึงแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก ที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลเตหะราน เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้น ในขณะที่การเจรจาระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน เพื่อฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์ จากการที่รัฐบาลวอชิงตันถอนตัวฝ่ายเดียว เมื่อปี 2561 แล้วกลับมาคว่ำบาตรรัฐบาลเตหะราน ยังแทบไม่มีความคืบหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อตกลงนี้ยังให้ความหวังสำหรับสันติภาพที่ยั่งยืนในเยเมน ซึ่งความขัดแย้งที่ปะทุเมื่อปี 2557 ได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวางว่าเป็น สงครามตัวแทนระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของจีนในข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ยังทำให้เกิดความสงสัยในรัฐบาลวอชิงตัน เกี่ยวกับแรงจูงใจของรัฐบาลปักกิ่ง นายไมเคิล แมคคอล สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากพรรครีพับลิกัน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสหรัฐ กล่าวว่า จีนไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีความรับผิดชอบ และไม่สามารถไว้วางใจในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยที่ยุติธรรม หรือเป็นกลางได้

อย่างไรก็ดี เคอร์บีย์กล่าวว่า สหรัฐกำลังติดตามพฤติกรรมของรัฐบาลปักกิ่งอย่างใกล้ชิด ทั้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และพื้นที่แห่งอื่น

“สำหรับอิทธิพลของจีนในภูมิภาคนั้น หรือในแอฟริกา หรือในลาตินอเมริกา มันไม่ใช่ว่าพวกเราไม่สนใจเลย” เคอร์บีย์ กล่าว “เรายังคงจับตาดูจีนต่อไป ในขณะที่พวกเขาพยายามสร้างอิทธิพล และตั้งหลักแหล่งที่อื่นทั่วโลก เพื่อผลประโยชน์ที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาเอง”

ส่วนนายจอน อัลเทอร์แมน จากศูนย์การศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ (ซีเอสไอเอส) กล่าวว่า การมีส่วนร่วมของรัฐบาลปักกิ่ง เพิ่มการรับรู้ถึงอำนาจและอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับทำให้เห็นว่า บทบาทในระดับโลกของสหรัฐกำลังลดลง แม้สหรัฐจะเป็นมหาอำนาจทางทหารที่เหนือกว่าในภูมิภาคอ่าว แต่จีนก็มีบทบาททางการทูตที่ทรงพลัง และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : REUTERS