สำหรับคอหนังผี-สยองขวัญจากฮอลลีวูด ไม่มีใครไม่รู้จักซีรีส์หนังผีเขย่าขวัญอย่าง The Conjuring ที่สร้างออกมาแล้วถึง 3 ภาค โดยออกฉายเมื่อปี 2556, 2559 และ 2564

หลังจากประสบความสำเร็จจากภาคแรก ก็มี The Conjuring 2 ซึ่งเป็นหนังภาค 2 ตามออกมาในอีก 3 ปีให้หลัง และหยิบยกเอาข่าวหรือเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่โด่งดังที่สุดของประเทศอังกฤษ มาเป็นโครงเรื่องหลัก ซึ่งมีคนตั้งชื่อให้ว่า ‘การหลอกหลอนที่เอนฟิลด์’ หรือ ‘วิญญาณหลอนแห่งเอนฟิลด์’ (Enfield poltergeist)

ในช่วงที่หนังกำลังออกฉาย ก็มีการสัมภาษณ์หญิงสาวซึ่งบอกว่า เธอคือต้นแบบของเด็กหญิงวัย 11 ขวบ ที่โดนผีสิง หนึ่งในตัวละครเอกของเรื่อง ทั้งเธอและตัวละครในเรื่องใช้ชื่อเดียวกันว่า ‘เจเน็ต ฮอดจ์สัน’ 

เจเน็ต ฮอดจ์สัน หรือในปัจจุบันคือ เจเน็ต วินเทอร์ และพี่น้องของเธอคือ มาร์กาเร็ต และ จอห์นนี เคยตกเป็นจุดสนใจ หลังจากการมีตีพิมพ์เผยแพร่ข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์อังกฤษ เกี่ยวกับเรื่องประหลาด เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับพวกเธอ และยังคงถือว่าเป็นหนึ่งในกรณีผีหลอกวิญญาณหลอน ที่โด่งดังที่สุดของประเทศจนถึงทุกวันนี้

เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1977 มีเหตุการณ์ลึกลับ แปลกประหลาดที่หาคำอธิบายอย่างมีเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เกิดขึ้นในบ้านของพวกเขาบนถนนกรีน ย่านเอนฟิลด์แห่งลอนดอน ซึ่งดูภายนอกแล้วก็เหมือนกับบ้านธรรมดาทั่วไป

หลังจากหลายสิบปีผ่านไป เจเน็ต ยังคงเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเธอเป็นเรื่องจริง เธอยังเคยยินยอมให้กลุ่มนักสืบเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ มาทำการทดสอบหลายอย่างในบ้านหลังนั้น และพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์กับทีมงานเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์

ในบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2559 เจเน็ต เคยเล่าถึงสิ่งที่เธอประสบมาว่า มีทั้งสิ่งของหนัก ๆ ที่ลอยตัวได้ มีเสียงต่าง ๆ เสียงพูด ดังออกมาโดยหาต้นเสียงไม่ได้ ตัวเธอนั้นเคยเจอเหตุการณ์ ที่จู่ ๆ ผ้าม่านก็ม้วนพันรอบคอของเธอ ซึ่งทำให้เธอเกือบตาย และ ณ จุดนั้นที่ทำให้เธอตระหนักได้จริง ๆ ว่า สิ่งเหล่านี้สามารถเอาชีวิตเธอได้

เจเน็ต ยังเล่าว่า เธอรู้สึกเหมือนโดนใช้งานและโดนทำร้ายร่างกายอย่างหนัก รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงบ่อยครั้ง และมักจะคิดอยู่เสมอว่า “ทำไมต้องเป็นฉันด้วย?” 

มาร์กาเร็ต นาดีน-ฮอดจ์สัน (ซ้าย) และ เจเน็ต วินเทอร์ (ขวา) ในงานเปิดตัวภาพยนตร์ The Conjuring 2 เมื่อหลายปีก่อน

แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่เชื่อเธอ คิดว่าเธอโกหก แต่เธอไม่แคร์ คนที่ด่าเธอ ไม่ได้เจอเข้ากับตัวเอง เจเน็ต บอกว่า เธอรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอ และเธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง 

หลังจากที่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นในบ้านของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีเสียงของ “คนอื่น” ออกมาจากปากของ เจเน็ต ซึ่งเธอเชื่อว่า เป็นเสียงของผีเจ้าของบ้านชายที่เคยอยู่ และตายในบ้าน ก่อนหน้าที่พวกเธอจะย้ายเข้ามา

เจเน็ต เล่าว่า เธอไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนพูด เธอรู้สึกเหมือนเสียงนั้นดังออกมาจากด้านหลังตัวเธอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทีมสืบสวนใช้เทปปิดปากเธอไว้ ทำแม้กระทั่งใช้น้ำกรอกปาก แต่ก็ยังคงมีเสียงพูดดังออกมาอย่างชัดเจน ตอนนั้นเธอคิดได้แต่เพียงว่า ตัวเองโดนผีสิงไปแล้วหรืออย่างไร

อย่างไรก็ตาม เธอรู้ดีว่ายังมีคนจำนวนมากสงสัยว่าเธอแต่งเรื่องโกหก เพราะ “ผี” ตัวนี้ แทบจะไม่พูดต่อหน้าคนอื่น 

หลังจากผ่านไปราว 1 ปีครึ่ง เหตุการณ์แปลก ๆ ก็เริ่มเว้นช่วงนานขึ้น จนกระทั่งหายไป แม้ว่า มาร์กาเร็ต และแม่ของพวกเธอจะยังคงยืนยันว่า มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว คนที่ไม่เชื่อก็กล่าวหาเด็กหญิงสองคนในตอนนั้นว่าสร้างเรื่อง เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ หรือมีปัญหาทางจิต

ต่อมาภายหลัง มาร์กาเร็ต ออกมาพูดว่าบางเหตุการณ์ เธอก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง และที่จริง ตัวเธอก็สงสัยมาตลอดว่า เหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ขณะที่ตัว เจเน็ต เอง เคยพูดว่า เธอคิดว่า ราว 2% ของเหตุการณ์แปลก ๆ ในบ้านเป็นเรื่องไม่จริง หรือคิดไปเอง ตามความรู้สึกของเธอ

หลังจากที่ครอบครัวของ เจเน็ต ย้ายออกไป ก็มีครอบครัวใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อ แต่พวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน ผู้เป็นแม่ของครอบครัวนั้นบอกว่า เธอไม่ได้เห็นสิ่งแปลก ๆ หรือมีเรื่องแปลก ๆ ในบ้าน แต่เธอรู้สึกว่าอยู่บ้านนั้นแล้วอึดอัด ไม่สบายใจ เธอเชื่อว่ามีใครบางคนหรือบางอย่างอยู่ในบ้านหลังนั้น และบางครั้งเธอก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนใครจ้องอยู่ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่แถวนั้น

บ้านเก่าของ เจเน็ต ในปัจจุบัน ไม่มีรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอีกต่อไป

ปัจจุบันบ้านเลขที่ 284 ถนนกรีน ย่านเอนฟิลด์แห่งกรุงลอนดอน ก็ยังมีคนอาศัยอยู่ เพียงแต่เจ้าของคนปัจจุบันไม่ต้องการเปิดเผยตัว และไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย 

แหล่งข้อมูล : ladbible.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, Wikimedia Commons