ขีปนาวุธรุ่นดังกล่าวใช้ “เครื่องยนต์ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งประสิทธิภาพสูงรุ่นล่าสุด” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือใช้ตัวขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็งกับขีปนาวุธพิสัยกลาง ( ไออาร์บีเอ็ม ) และขีปนาวุธข้ามทวีป โดยการพัฒนาเครื่องยนต์ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็ง ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญทางทหารของรัฐบาลเปียงยาง
ตัวขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง คือ การผสมผสานระหว่างเชื้อเพลิงและตัวออกซิไดซ์ โดยผงโลหะ เช่น อะลูมิเนียม มักจะเป็นเชื้อเพลิง ส่วนแอมโมเนียมเปอร์คลอเรต ซึ่งเป็นเกลือของกรดเปอร์คลอกริก และแอมโมเนีย เป็นตัวออกซิไดซ์ที่พบได้มากที่สุด ซึ่งเชื้อเพลิงกับตัวออกซิไดซ์จะถูกรวมเข้าด้วยกัน ด้วยวัสดุที่เป็นยางแข็ง และบรรจุลงในปลอกหุ้มที่ทำจากโลหะ
VIDEO (with sound): North Korea's state-run Korean Central Television (KCTV) video footage of the Hwasong-18 solid-fuel ICBM launch (1/3)
— NK NEWS (@nknewsorg) April 14, 2023
Read more about the launch here, by @ColinZwirko: https://t.co/6S0vcs4TL8 pic.twitter.com/Z5Zh5laX2V
เมื่อตัวขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็งเกิดการเผาไหม้ ออกซิเจนจากแอมโมเนียมเปอร์คลอเรต จะรวมกับอะลูมิเนียม เพื่อผลิตพลังงานปริมาณมหาศาล และอุณหภูมิมากกว่า 2,760 องศาเซลเซียส ก่อนที่จะสร้างแรงขับ และผลักขีปนาวุธออกจากแท่นยิง
จุดเริ่มต้นของเชื้อเพลิงแข็งสามารถย้อนกลับไปถึงดอกไม้ไฟที่พัฒนาโดยชาวจีน เมื่อหลายศตวรรษก่อน ทว่ามันมีความก้าวหน้าอย่างมากในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อสหรัฐพัฒนาตัวขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สหภาพโซเวียตติดตั้งไอซีบีเอ็มเชื้อเพลิงแข็งรุ่นแรก ที่เรียกว่า “อาร์ที-2” เมื่อช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 ตามมาด้วยการพัฒนาจรวด เอส3 ของฝรั่งเศส หรือที่เรียกว่า “เอสเอสบีเอส” ซึ่งเป็นขีปนาวุธนำวิถีพิสัยกลาง โดยหลังจากนั้น จีนเริ่มทดสอบไอซีบีเอ็มเชื้อเพลิงแข็ง ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ส่วนเกาหลีใต้ กล่าวว่า ได้รับเทคโนโลยีขีปนาวุธที่มีตัวขับเคลื่อนเชื้อเพลิงแข็ง ซึ่ง “มีประสิทธิภาพและก้าวหน้า” มาแล้ว
แม้ตัวขับเคลื่อนเชื้อเพลิงเหลวจะให้แรงขับเคลื่อนที่มากกว่า แต่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีน้ำหนักเพิ่มเติม ขณะที่เชื้อเพลิงแข็งมีความหนาแน่น และเผาไหม้ค่อนข้างเร็ว ทำให้เกิดแรงผลักในช่วงสั้น ๆ อีกทั้งเชื้อเพลิงแข็งยังสามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานาน โดยไม่เสื่อมสภาพหรือเสียหาย ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปของเชื้อเพลิงเหลว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ พยายามให้ความเห็นเชิงผ่อนคลายต่อการทดสอบไอซีบีเอ็มครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ โดยระบุว่า รัฐบาลเปียงยางต้องการ “เวลาและความพยายามอีกมาก” เพื่อควบคุมเทคโนโลยีดังกล่าว
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือยังคงต้องเผชิญกับความยากลำบาก ในการสร้างความเชื่อมั่นว่า ขีปนาวุธขนาดใหญ่จะไม่แตกออกเป็นเสี่ยง เมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางของเครื่องยนต์ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งแม้ฮวาซอง-18 อาจไม่ใช่ “ตัวเปลี่ยนเกม” แต่มันน่าจะทำให้การประเมินสถานการณ์ของสหรัฐและประเทศพันธมิตรเกิดความยุ่งยากซับซ้อน ท่ามกลางความขัดแย้งที่ดำเนินอยู่ต่อไป.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : REUTERS