ข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกวัดเข้าควบคุมตัวเจ้าอาวาสวัด 4 วัด  ภิกษุลูกวัด 2 รูป และฆราวาสอีก 2 คน  รวม  8 คน  คากุฏิขณะที่กำลังตั้งวงกินหมูกระทะ  มีการดื่มเหล้า เบียร์ โดยไม่ละอายชั่วกลัวบาปซึ่งเป็นการผิดพระวินัย  อีกทั้งทำผิดกฎหมาย พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืน ของวันที่ 28 ส.ค. 64 ที่วัดปันเสา ข่าวนี้ได้สร้างตวามสะทกสะท้อนใจและความเศร้าสะเทือนใจแก่ชาวพุทธทั้งประเทศ

พ.ต.อ.รณชัย ลอดลอย ผกก.สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ เชียงใหม่ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ  สภ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า ที่วัดปันเสา มีภิกษุหลายรูป นำโดยเจ้าอาวาสวัดปันเสา นั่งล้อมวงกินหมูกระทะ  ดื่มเหล้าและเบียร์ ที่กุฏิวัด อย่างสนุกสนานแบบไม่เกรงกลัวกฏหมาย จึงขอให้ตำรวจไปที่วัดปันเสาเพื่อดำเนินการจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจไปดำเนินการตรวจสอบตามคำร้องเรียน พอตำรวจไปถึงวัดและเข้าไปในกุฏิ พบว่า​ มีภิกษุกำลังนั่งล้อมวงดื่มกินและสนทนากันอย่างมีความสุขสนุกสนาน เมื่อภิกษุเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบทำตัวสำรวมขึ้นมาทันที ต่างยอมรับกันว่ากินหมูกะทะ​ดื่มเหล้าและ​ เบียร์ จริง ซึ่งมีเจ้าอาวาสวัดปันเสาและเจ้าอาวาสวัดอีก 3 วัด ร่วมวงดื่มกินอยู่ด้วย ภายในกุฏิพบของกลางเป็นจำนวนมาก จึงทำการตรวจวัดระดับแอลกออฮอล์ในเลือด ​ปรากฎว่าแต่ละคนมีแอลกอฮอล์ในร่างกาย จึงมีการนัดหมายภิกษุทั้ง 6 รูป เข้ารับการสอบสวนที่ สภ.ภูพิงค์ฯ ในเช้าวันที่ 30 ส.ค.64 พร้อมกับได้ประสานงานกับภิกษุเถระซึ่งมีหน้าที่และอำนาจในการปกครองสงฆ์ในจังหวัด เพื่อพิจารณาโทษทางพระวินัยของคณะสงฆ์ต่อไป

ภิกษุซึ่งเป็นเจ้าอาวาสที่ประพฤติปฏิบัติผิดพระวินัยและผิดกฎหมายมี 4 รูป คือ พระภานุกร คำป็อก อายุ 42 ปี เจ้าอาวาสวัดปันเสา พระครูปลัดสุรเดช สายแผ่เยือง อายุ 34 ปี เจ้าอาวาสวัดยางกวง พระครูมนูญธรรมศาสถ์พุทธกร วิมุติญาณกุง อายุ 41 ปี เจ้าอาวาสวัดหัวฝาย พระอธิษฐณัฏฐ์ ปัญญาอินแก้ว อายุ 34 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านปิง รวมถึงภิกษุอีก 2 รูป คือ พระใบฏีกายนนนท์ ปัญญาปโตยานนท์ประทุม อายุ 35 ปี  พระทักษิณ ศรีธิ อายุ 36 ปี และฆราวาสอีก 2 คน คือ นายจรัสวลี ราชสมบัติ อายุ 23 ปี และนายสหการ สมศักดิ์ อายุ 25 ปี

นางจุรีรัตน์ ใจแข็ง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า เบื้องต้นรับรายงานกรณีดังกล่าวแล้ว การดำเนินการแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ทางกฎหมาย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายความผิด พ.ร.บ.ควบคุมโรค และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากการมั่วสุมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทางตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาและได้รับการประกันตัวแล้ว ส่วนทางคณะสงฆ์นั้น ทางพระปกครองจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนจะสรุปความผิด ลงโทษต่อไป

เบื้องต้นในขณะนี้คณะสงฆ์ สั่งการพระเจ้าอาวาส 4 รูปที่ก่อเหตุ ให้พักการทำหน้าที่แล้ว ส่วนการลาสิกขานั้น เบื้องต้นทั้งหมดยังไม่ได้ลาสิกขา แต่หากคดีถึงที่สิ้นสุดแล้วพบว่ามีความผิด ต้องโทษจำคุก ต้องลาสิกขา สิ้นสุดความเป็นพระ

ทุกวันนี้ปัญหาการล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัย 227 ข้อ ของภิกษุมีมากมายเหลือเกิน ทั้งนี้เป็นเพราะผู้บวชเป็นภิกษุไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ไม่มีความตั้งใจจริงในการศึกษาพระธรรมของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้งไม่มีอัธยาศัยในการครองตนอยู่ในเพศบรรพชิต การบวชจึงเป็นภิกษุจึงเต็มไปด้วยความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ไม่ว่าจะเป็นการบวชตามประเพณี การบวชเพื่อทดแทนคุณมารดา บิดา การบวชเพื่อให้พ้นเคราะห์กรรม และยังมีการบวชในลักษณะต่างๆ อาทิ บวชหนีปัญหาชีวิต บวชเพื่อปัจจัยสี่จะได้มีความอยู่รอด บวชหนีปัญหาชีวิต สิ่งที่กล่าวมาเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าผู้บวชเป็นภิกษุส่วนใหญ่ ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการบวช

ชาวพุทธพึงทราบว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททุกหมู่เหล่า โดยมีพระธรรมเป็นศาสดาสืบแทนพระองค์ การทำหน้าที่ของพุทธบริษัทจึงมีความสำคัญต่อการสร้างความเจริญมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ภิกษุมีหน้าที่ 2 ประการ ประการแรก การศึกษาพระธรรม( คันถธุระ) ประการที่สอง การอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาธุระ) ส่วนอุบาสก อุบาสิกามีหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ฟังธรรมตามมกาล ซึ่งมีภิกษุเป็นเนื้อนาบุญ  หากพุทธบริษัทไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง พระพุทธศาสนาจะไม่มีความเจริญมั่นคง มีแต่ความมัวหมองลงเป็นลำดับ

สภาพปัญหาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เมื่อภิกษุไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง จึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเนื้อนาบุญแก่อุบาสกและอุบาสิกา พฤติการณ์มีเพียงแต่การใช้เดรัจฉานกฐา สร้างความลุ่มหลงงมงายให้ชาวพุทธยึดมั่นในวัตถุมงคลต่างๆ เชื่อในเครื่องรางของขลังซึ่งรั้งแต่ขัดต่อพระธรรมทั้งสิ้น ปัจจุบันประเทศไทยมีวัดกว่า 40,000 วัด ภิกษุกว่า 300,000 รูป จะมีสักกี่วัดที่เป็นวัดในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง จะมีภิกษุสักกี่รูปที่เผยแผ่พระธรรมตรงตามพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก และในขณะนี้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกจริงหรือ

ความไม่รู้(อวิชชา) เป็นรากเหง้าของปัญหาทั้งมวล ตราบใดที่พุทธบริษัทมีความไม่รู้ มีแต่ความเห็นผิด กล้าประพฤติปฏิบัติทุจริตทั้งทางกาย วาจา ใจ โดยไม่ละอายชั่วกลัวบาป การพัฒนาชาติบ้านเมืองจะเดินหน้าต่อไปด้วยความสันติสุขได้อย่างไร นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่พุทธบริษัทจะต้องช่วยกันหาคำตอบและหาทางออกร่วมกัน

ถึงเวลาแล้วยังที่มหาเถรสมาคมซึ่งเป็นฝ่ายพุทธจักร มีหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งเป็นฝ่ายอาณาจักรมีหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐโดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี  จะดำเนินการพัฒนาและแก้ปัญหาการบริหารกิจการคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา 67

ขอฝากมายังคณะกรรมาธิกาวุฒิสภา ซึ่งทำหน้าที่ติดตามการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ได้ให้ความสำคัญติดตามการปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่ได้อ้างถึงข้างต้น หากฝ่ายพุทธจักรและฝ่ายอาณาจักรร่วมมือกันพัฒนาและแก้ปัญหาคณะสงฆ์ไทยให้เป็นไปตามพระวินัยแล้ว เชื่อว่าคนดีในทุกภาคส่วนของสังคมจะมีมากขึ้น คนดีเหล่านี้จะได้มีส่วนทำงานรับใช้สังคมและประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงสืบไป

…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”