ปกติแล้ว เมื่อการเลือกตั้งใกล้เข้ามา การหาเสียงของพรรคต่าง ๆ นโยบายที่นำเสนอมักจะเป็นเรื่องฉากหน้าของการเมือง เศรษฐกิจ ปากท้อง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการขับเคลื่อนประเทศ

ส่วนนโยบายด้านกีฬานั้นแทบไม่ค่อยมีการเอ่ยถึง หรือถ้าจะมีการพูดถึงก็มักจะเป็นเวทีเฉพาะทาง ไม่ใช่เวทีที่สื่อสารสู่ประชาชนในวงกว้างเท่าไหร่นัก

กระนั้น ในการเลือกตั้งปี 66 ครั้งนี้ มีหลายพรรคการเมืองที่มีการนำเสนอนโยบายด้านกีฬาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และเริ่มมีการกล่าวถึงในช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ของแต่ละพรรค รวมถึงมีการนำไปพูดในหลาย ๆ เวที

ในส่วนของพรรคก้าวไกล “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล เผยถึงนโยบายด้านกีฬาของพรรคว่า “เรื่องของกีฬาถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างกว้างและมีหลายวัตถุประสงค์ เพราะมีทั้งกีฬาเพื่อสุขภาพ และการเล่นเป็นอาชีพ โดยกีฬาเพื่อสขภาพนั้นอาจผูกโยกกับเรื่องของการศึกษา อาจมีการปรับหลักสูตรลดจำนวนชั่วโมงเรียนลงเพื่อให้เด็กมีโอกาสในการทำกิจกรรมมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของกีฬา ซึ่งพรรคมีนโยบายที่เรียกว่าคูปองเปิดโลก มูลค่า 1,000-2,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งรวมถึงเรื่องของกีฬาด้วย”

“ส่วนเรื่องการส่งเสริมกีฬาอาชีพ อาจมีการส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ ที่ผูกโยงกับวงการกีฬา รวมถึงมีนโยบายในการส่งเสริมสวัสดิการ เพื่อให้มีตาข่ายรองรับเป็นการรับประกันคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานให้กับประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอาชีพนักกีฬาที่มีอายุการใช้งานน้อยและมีความเสี่ยงสูง ซึ่งหากมีมาตรการรองรับก็น่าจะช่วยให้คนที่ฝันอยากเป็นนักกีฬาอาชีพ กล้าเดินหน้าล่าความฝันของตัวเองมากขึ้น”

ด้านพรรคเพื่อไทย, รวมไทยสร้างชาติ และชาติพัฒนากล้า ก็ได้นำเสนอนโยบายด้านกีฬาของพรรค ผ่านรายการ 9th stadium EP special “ Sport’s Vote” ทางช่อง 9 กด 30 โดยนายสามารถ มะลูลีม ประธานคณะกรรมการนโยบายกีฬา และกิจการมุสลิมพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายกสมาคมกีฬามวยไทยนานาชาติ เสนอตั้งกรมสวัสดิการนักกีฬา, สนับสนุนกีฬาคนพิการและอาวุโส, ผลักดันให้กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงมวยไทยโลก, สนับสนุนฟุตบอลไทยไปฟุตบอลโลกภายใน 8-10 ปี

ส่วน “บิ๊กเอ” ผศ. พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย เสนอระดับกีฬาทั้งมวลชน เป็นเลิศ และอาชีพ นำโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจกลับมา ให้นำงบรัฐวิสาหกิจปีละหลักหมื่นล้านมาช่วยกีฬา รวมถึงการผลักดันมวยไทย และฟุตบอลทีมชาติไทย

ขณะที่ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย โฆษกพรรคชาติพัฒนากล้าและอดีตนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ระบุว่าพรรคนำเสนอนโยบายสร้าง 1 ตำบล 1 ศูนย์กีฬา, ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลาเล่นกีฬา, ดึงภาคเอกชนมาสนับสนุนกีฬาเพื่อลดหย่อนภาษี, เป็นเจ้าภาพกีฬาระดับโลก, สนับสนุนมวยไทย และสนับสนุนกีฬาอาชีพ ผ่านกองทุน soft power 10,000 ล้านบาท พร้อมเสนอเพิ่มเงินรางวัลเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์จาก 12 เป็น 20 ล้านบาท

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพรรคการเมือง ที่ได้มีโอกาสนำเสนอนโยบายด้านกีฬา อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองก็น่าจะมีนโยบายด้านกีฬาเป็นส่วนหนึ่งของการหาเสียงอยู่ด้วย และหวังว่าทุกพรรคจะได้มีโอกาสนำเสนอให้คนในแวดวงได้มีโอกาสพิจารณาและตัดสินใจ

เพราะวงการการกีฬา ก็เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีความสำคัญของสังคมไทยเช่นกัน…