เลสเตอร์ เป็นหนึ่งในทีมมหัศจรรย์ของพรีเมียร์ลีก พวกเขาสร้างตำนานคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบหักปากกาเซียน เมื่อปี 2016 และแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อ 2 ปีก่อน ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวย จากทีมขนาดเล็กกำลังยกระดับเป็นทีมขนาดใหญ่ แต่จบฤดูกาล 2022-23 เลสเตอร์ กลับพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์หนีตกชั้น ซึ่งในที่สุดพวกเขาก็หนีเอาตัวรอดไม่สำเร็จ

มันเกิดอะไรขึ้น ?

ที่จริงดูเหมือนมีสัญญาณเตือนตั้งแต่ช่วงพรีซีซั่น

เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากตั้งแต่ย้ายมาจากเซลติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2019 แต่หลังจากล้มเหลวในการกลับไปยังแชมเปียนส์ลีก จบอันดับ 5 สองปีติดและอันดับ 8 ปีก่อน ร็อดเจอร์ส รู้สึกว่าจำเป็นต้องยกเครื่องทีมใหม่ กำจัดส่วนเกินและเติมคนที่หิวกระหาย

ร็อดเจอร์ส เตรียมชื่อนักเตะที่ต้องการขายไว้แล้ว รวมถึง นัมปาลีส เมนดี้และกองหน้าอโยเซ เปเรซ และมีลิสต์คนที่อยากได้ เช่น ลีวาย โคลวิลล์ (กองหลังเชลซีที่ลงท้ายไปไบรท์ตันแบบยืม)

แต่เมื่อกลับจากพักผ่อน กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือกลับพบว่า คนที่อยากขายก็ยังอยู่ที่สโมสร

โควิดส่งผลกระทบต่อเจ้าของสโมสรอย่างหนักหน่วง ธุรกิจคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี พึ่งพาการท่องเที่ยวแต่อุตสาหกรรมการบินหยุดชะงัก กระเป๋าเงินจึงต้องรัดกุมกว่าปกติ

ร็อดเจอร์ส เคยให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าอยากปรับปรุงทีม แต่ขณะเดียวกันก็เข้าใจถึงปัญหาของเจ้าสโมสร และก่อนตลาดปิดเลสเตอร์ได้มาแต่ เวาท์ ฟาส เซ็นเตอร์แบ็คที่ย้ายมาจากแรนส์ในราคาประมาณ 15 ล้านปอนด์

พอมีการยกระดับทีมน้อยมาก ผลการแข่งขันก็ออกมาไม่สวยตามไปด้วย พวกเขาชนะแค่เกมเดียวจาก 10 เกมแรก แต่ยังกลับมารั้งอันดับ 12 ห่างโซนตกชั้น 4 แต้มตอนหยุดฟุตบอลโลก

สถานการณ์ทีมยังคงไม่ดี แฟนบอลชูป้ายไล่เกมแพ้เชลซีเมื่อเดือนมีนาคม หรือเกมต่อมาที่เสมอเบรนท์ฟอร์ด ในที่สุดบอร์ดจึงตัดสินใจแยกทางร็อดเจอร์สหลังแพ้พาเลซและทีมอยู่ในโซนตกชั้นเมื่อต้นเดือนเมษายน

แต่ความผิดพลาดคือพวกเขาไม่ได้หาใครเตรียมไว้ก่อน แต่ละวันที่ผ่านไปก็เหมือนวันที่แต้มถูกลดทอนไปด้วย พวกเขาคุยกับคนที่สนใจหลายคน แต่เกรแฮม พอตเตอร์ ที่เพิ่งว่างงานปฏิเสธ ทาบทาม เจสซี มาร์ช ก็โดนปฏิเสธ และจึงมาได้ ดีน สมิธ แต่ก็สายเกิน

การปล่อย แคสเปอร์ ชไมเคิล ออกไปอาจเป็นอีกหนึ่งความผิดพลาด เขาเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม ขณะนั้นได้รับข้อเสนอขยายสัญญาเพียงหนึ่งปี และหันไปรับข้อเสนอสามปีที่เฟรนช์ ริเวียร่า

อเล็กซ์ สมิธีส์ ย้ายมาฟรีในฐานะมือสาม ตามหลัง แดนนี วอร์ด และ ดาเนียล อีเวอร์เซน แต่หลังจากเป็นสำรองมา 4 ปี ผลงานของวอร์ดกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม เขาเสียประตูเฉลี่ย 1.8 ประตูต่อเกมก่อนถูกอีเวอร์เซนแทนที่

เกมรับของเลสเตอร์ยุ่ยมาก เสียไป 68 ประตูในลีกในฤดูกาลนี้ มีเพียงลีดส์ (78) และเซาแธมป์ตัน (73) (ที่ตกชั้นทั้งคู่) และบอร์นมัธ (71) ที่เสียมากกว่า

มองไปที่อนาคต พวกเขาจะกลับมาได้ทันทีหรือไม่?

อาจจะไม่ง่ายขึ้นเมื่อคาดว่าอาจต้องเสีย เจมส์ แมดดิสัน และ ฮาร์วีย์ บาร์นส์ ซึ่งอาจขายได้เงินก้อนใหญ่ บวกกับเงินช่วยเหลือจากพรีเมียร์ลีกสำหรับทีมตกชั้น

แต่สิ่งสำคัญคือการเตรียมแผนใหม่สำหรับลีกใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม ตั้งแต่การหาผู้จัดการทีม ยกเครื่องสตาฟฟ์ และเสริมทีม ต้องไม่ลืมว่า เลสเตอร์ เสียนักเตะ 7 คนที่หมดสัญญารวมถึง ยูริ ตีเลมองส์ และ ชากลาร์ โซยุนชู แล้วยังมีอีก 8 คนที่กำลังหมดสัญญาปีหน้า

บัญชีค่าเหนื่อยของเลสเตอร์อยู่ที่ 180 ล้านปอนด์ ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทีมนอกจากท็อป 6 หลายคนมีรายได้เกิน 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แน่นอนว่ามากเกินไปสำหรับแชมเปียนชิพ

ขณะที่สโมสรมีรายได้ 214 ล้านปอนด์ในบัญชีของพวกเขาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2022 แต่มันจะลดลงเกินครึ่งเหลือประมาณ 70 ล้านปอนด์ แล้วยังมีภาระเงินกู้ยืมที่แน่นอนว่าไม่ได้ลดดอกเบี้ยตามหากคุณตกชั้น

ตกชั้นแต่ละครั้ง ต่อให้เป็นทีมขนาดเล็กก็ยังต้องเปลี่ยนแปลงมหาศาล เพราะรายได้ลดฮวบแบบฟ้ากับเหว แล้วนี่เป็นเลสเตอร์ที่มีนักเตะค่าจ้างสูงมากหลายคน เลสเตอร์จึงมีงานหนักในการปรับสภาพทีมและรักษาสมดุลย์ไปพร้อม

ครั้งสุดท้ายที่เลสเตอร์หลุดจากพรีเมียร์ลีกคือสิ้นสุดฤดูกาล 2003-04 พวกเขาต้องใช้เวลานานถึง 10 ฤดูกาลในการกลับสู่ลีกสูงสุด รวมถึงหนึ่งฤดูกาลที่ใช้ในลีก วัน

หวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องเผชิญกับเส้นทางอันยาวไกลและเจ็บปวดแบบนั้นอีก

เฮียเอง